TOURLINES BLOG

กรีนแลนด์  ขาวมหัศจรรย์

blog-cover-13112018

กรีนแลนดเป็นดินแดนของชาวอินูอิต (Inuit) ซึ่งมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง และรู้สึกว่าจะมีหน้าตาคล้ายมาทางเอเชีย หรืออาจจะมีเชื้อสายทางเอเชียอยู่บ้าง เพราะดูจากหน้าตาแล้วไม่ค่อยเหมือนชาวยุโรป อาจจะเป็นเพราะว่า สมัยโบราณแผ่นดินของแต่ละทวีปยังติดกันอยู่ ชาวกรีนแลนด์หรือชาวอินูอิตเลยได้รับอิทธิพลทางชาติจากชาวเอเชียไปบ้าง

ประชากรส่วนใหญ่ของกรีนแลนด์มักจะประกอบอาชีพประมงและล่าแมวน้ำเป็นหลัก แต่ต่อมาก็เริ่มมีการทำธุรกิจท่องเที่ยว โดยเป็นการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมภัสกับชีวิตชาวอินูลิต สัมผัสกับธรรมชาติ  ไม่ว่าจะเป็นกลาเซียร์ ภูเขาน้ำแข็ง  ซึ่งที่เมืองอิลูอิสซัต (Ilulissat) จะเป็นเมืองที่มีภูเขาน้ำแข็งมากที่สุดและสวยงามที่สุด เรียกได้ว่าเป็น The Iceberg Town เลย เพราะจะมีภูเขาน้ำแข็งลอยอยู่เต็มทะเลไปหมด

หลายท่านอาจจะเคยดูหนังเรื่องไททานิค (Titanic) มาบ้าง ซึ่งคงจะรู้สึกเหมือนกันว่า ภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในทะเล ส่วนบนจะเล็ก แต่ด้านล่างจะมีขนาดใหญ่มหึมา ดังนั้นนักเดินเรือจึงต้องมีความระวังเป็นพิเศษในการที่จะพาเรือแล่นผ่านภูเขาน้ำแข็ง แต่ในส่วนที่เราจะไปดูในแง่ของการเป็นนักท่องเที่ยวนั้น ต้องนั่งเรือเล็ก คล้ายกับเรือของชาวประมง เพื่อจะได้ไปสัมผัสกับภูเขาน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างจะปลอดภัยกว่าแต่ถ้าเราเดินทางด้วยเรือสำราญ กัปตันจะเป็นชาวนอร์เวย์ไว้ใจได้ เพราะเป็นชนชาติหนึ่งที่เป็นลูกหลานของชาวไวกิ้ง จึงค่อนข้างที่จะมีความชำนาญในการเดินเรือ ซึ่งการเดินทางเข้าไปชมภูเขาน้ำแข็งให้ได้ใกล้ชิดก็ต้องเปลี่ยนจากเรือสำราญลำใหญ่มาเป็นเรือลำเล็กกว่าล่องเข้าไปชม

ความมหัศจรรย์ของภูเขาน้ำแข็ง นอกจากความที่เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาลอยน้ำได้แล้ว สีขาวของก้อนน้ำแข็งที่ถูกแสงแดดหรือแสงจากท้องฟ้าสะท้อนยามกลางวันหรือยามค่ำคืนที่กระทบกับพื้นน้ำ ยังทำให้เกิดเป็นแสงสีฟ้าสะท้อนมาหาน้ำแข็ง สวยงามมาก อีกทั้งความที่ภูเขาน้ำแข็งยังมีมากมายหลากหลายแบบ ทำให้เรามีโอกาสเห้นตั้งแต่ก้อนใหญ่เหมือนภูเขาลอยอยู่ทางทะเล ลงมาจนถึงก้อนเล็กก้อนน้อยที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ลักษณะเหมือนน้ำแข็งที่ใส่อยู่ในถ้วยทานกับทับทิมกรอบ มองแล้วจินตนาการได้ขนาดนั้นเลยเพราะเป็นก้อนเล็กๆ ละเอียดๆ ทำให้รู้สึกว่า พอมองแล้วเริ่มคิดถึงทับทิมกรอบที่บ้าน ถ้าได้กลับไปอีกก็คงได้เอาทับทิมกรอบไปทานอยู่ข้างๆภูเขาน้ำแข็งเลย และด้วยสภาพที่เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กนี่เอง ที่ทำให้เรือลำเล็กสามารถแล่นไปได้โดยปลอดภัย ทำให้เราได้เห็นภาพที่แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

และเมื่อเรากลับที่พัก ซึ่งเป็นโรงแรมติดทะเล มีหาดทราย แล้วก็มีน้ำแข็งเป็นก้อนๆ เรียงรายอยู่ มองไปเห็นหาดทรายมีคลื่นซัด แล้วยังมีน้ำแข็งแบบต่างๆ เรียงเป็นแถวๆ อยู่ตรงนั้นอีก เป็นความแปลกตาของชายหาดที่แทบจะหาที่อื่นในโลกเหมือนได้ยาก

เรือนำเที่ยวจะพาล่องชมภูเขาน้ำแข็งในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะเดินทางไปท่องเที่ยวกรีนแลนด์กับไอซ์แลนด์ เพราะนอกจากจะได้สัมผัสกับภูเขาน้ำแข็งกลางทะเลแล้ว  ยังมีพระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun) ที่แม้เวลาจะก้าวผ่านเที่ยงคืนไปแล้วแต่พระอาทิตย์ก็ยังคงส่องแสงสว่างไสวอยู่ เมืองอิลูอิลซัตเป็นเมืองที่มีประชากรไม่มาก แต่ในช่วงหน้าร้อนจะเริ่มมีผู้คนเดินทางเข้ามามากขึ้น เดือนมิถุนายนและกรกฎาคมเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยว เข้ามามากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะมาเพื่อนชื่นชมภูเขาน้ำแข็งและในเมืองนี้จะเป้นเมืองท่าด้วย จึงมีเรือขนส่งสินค้ามาจอดเทียบท่าอยู่มากมาย ซึ่งทางฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์จะมีชาวอินูอิตหรือชาวกรีนแลนด์อาศัยอยู่ค่อนข้างมาก และประกอบอาชีพอยู่แถบนั้น ทั้งการท่องเที่ยวและการล่าแมวน้ำด้วย

พูดถึงแมวน้ำ ชาวอินูอิตนิยมนำขนของแมวน้ำมาใช้ทำเสื้อกันหนาวแม้ว่าจะมีน้ำหนักมากและมีกลิ่นเล็กน้อย แต่ต่อให้หนาวขนาดไหน ถ้าใส่เสื้อแมวน้ำแล้ว หายสงสัยเลยว่า ทำไมแมวน้ำไม่หนาว เลยต้องขอยืมขนแมวน้ำมาใส่ตอนล่องเรือภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งทำให้อบอุ่นลืมอากาศหนาวไปเลย ส่วนเนื้อแมวน้ำเขาก็ไม่ทิ้งนะ  เพราะสามารถนำมาบริโภคได้

ส่วนกิจกรรมฤดูหนาวของกรีนแลนด์ก็จะคล้ายกิจกรรมทางแถบสแกนดิเนเวีย มีสุนัขลากเลื่อนเหมือนกัน ไม่มีกวางลากเลื่อน ใช้สุนัขพันธ์เดียวกับทางสแกนดิเนเวีย แต่เท่าทีสังเกตุดู สุนัขของกรีนแลนด์จะตัวโตกว่าเล็กน้อย และที่นั่งหรือเลื่อนของกรีนแลนด์จะมีดีไซน์ที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากสแกนดิเนเวียนิดหน่อย  การนั่งเลื่อนจะอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างคือเป็นเส้นทางที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นอยู่ที่เมือง Kangerlussuaq ซึ่งเป็น Gateway ของกรีนแลนด์ สามารถบินจากโคเปนเฮเกนไปถึงได้ ตอนนั้นบินไปลงที่เมืองนี้ แล้วจึงเปลี่ยนเครื่องบินต่อไปยังเมืองอิลูอิสซัต

ที่ Kangerlussuaq ก็จะมีต้นไม้อยู่แค่ 2-3 ต้น โดยสูงราว 2 เมตรเท่านั้น เป็นต้นที่สูงที่สุดที่เมืองนี้จะมี แล้วก็มีวัวตัวผู้ ขนหนาๆ เขาโง้งๆ ยาวๆ เป็นสัตว์พื้นเมืองที่อาศัยอยู่ทั่วไป ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เขากินเนื้อวัวชนิดนี้ด้วยหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเป็นวาฬ แมวน้ำ หรือโลมา เนื้อจะมีลักษณะเป็นสีแดงๆ เหมือนเนื้อวัว

แต่จะเหนียวกว่า เพราะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทานกันไปเพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต ถ้าต้องไปอยู่ตรงนั้นหรือไปเที่ยวที่นั่นเขามีให้ทานก็ต้องทาน เพราะชาวพื้นเมืองเขาต้องการนำอาหารเลิศรสหรืออาหารท้องถิ่นของเขามาเสนอให้เราลองทานในทุกมื้ออยู่ แต่ทานได้คำเดียวนะ เพราะมันเคี้ยวไม่ค่อยออก

กรีนแลนด์มีพระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun) เหมือนกัน เพราะอยู่ใกล้เส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ซึ่งสามารถเห็นปรากฏการณ์ของพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ในเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม เป็นปรากฎการณ์ที่แสงอาทิตย์ไม่ลับขอบฟ้าในเวลาเที่ยงคืน ไม่มืด เป็นเวลา 2 เดือน ทุกพื้นที่ที่อยู่ในเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลขึ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของแถบนี้ พระอาทิตย์ก็จะไม่ตก อย่างที่ตรงเมืองหลวงซึ่งมีชื่อว่า นุก (Nuuk) ซึ่งอยู่ใต้เส้นอาร์กติกเซอร์เคิลลงมาหน่อย ก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวได้เช่นกัน  แต่อาจจะไม่นานเท่ากับเมืองที่อยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลขึ้นไป

นอกจากความน่าสนใจของพื้นที่แล้ว  ผู้คนของกรีนแลนด์ยังมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีมากๆ คนไม่ดีไม่ค่อยเห็นหรือเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนก็ไม่รู้นะ อีกอย่างคงจะทำไม่ดียาก เพราะคงจะคิดไม่ออกว่า ทำไม่ดีทำยังไงแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหมือนกับว่าไม่มีตัวอย่างคนไม่ดีให้เห็น เลยทำไม่เป็นหรือเปล่า เลยกลายเป็นว่ามีแต่คนดี เป็นดินแดนที่ขาวทั้งพื้นที่และขาวในอัธยาศัยไมตรีของผู้คน

นอกจากความขาวของจิตใจแล้ว นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนกรีนแลนด์มาแล้ว มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า คนกรีนแลนด์หน้าตาดี ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการผสมผเสกันทางเผ่าพันธุ์ระหว่างชาวอินูอิตกับชาวเดนมาร์กที่อยู่ใกล้กัน และอีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะประชากรเขาน้อย พอมองไปทางไหนก็เลยเจอแต่คนหน้าตาดีทแล้วก็มีน้อย แถมยังมีอัธยาศัยดีอีก เดาเอาว่าด้วยสภาพทางธรรมชาติ ทำให้อาชีพรองจาการประมงแล้ว เป็นการทำธุรกิจท่องเที่ยวทำให้ประชากรมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี เพื่อตอบรับกับการประกอบอาชีพนั่นเอง

สำหรับการทำประมงของกรีนแลนด์ ก็จะเป็นสัตว์ทะเลจำพวกปลากับกุ้งแม้จะเป็นกุ้งตัวเล็กๆ ไม่ใช่กุ้งตัวใหญ่ แต่เนื้อแข็ง แล้วอร่อยคิดว่าถ้าเอามาทำต้มยำกุ้ง น่าจะอร่อยมาก ระหว่างที่มีโอกาศได้ท่องเที่ยวอยู่ที่นั่นหลายๆวันเข้า ก้เริ่มจะคิดอยู่ตลอดเลยว่า ถ้าต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำแล้วใส่กุ้งกรีนแลนด์ลงไปด้วยน่าจะได้รสชาติที่แซบถึงใจ

สถานที่ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในเมืองอิลูอิสซัต เป็นพิพิธภัณฑ์และโบถส์ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์อิลูอิสซัต (Ilulissat Museum) เก็บรวบรวมสิ่งต่างๆของชาวพื้นเมืองในอดีตที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะกรีนแลนด์ ใครไปใครมาก็มักจะแวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้รวมทั้งเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เสด็จเยือนกรีนแลนด์และสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ตอบคำถามที่ว่า ทำไมจึงควรเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เมื่อมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวกรีนแลนด์

นอกจากความเก่าแก่และเรื่องราวของกรีนแลนด์แล้ว พิพิธภัณฑ์ของเมืองอินูอิตอิสซัตยังเก็บรักษาวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในสมัยก่อนของชาวอินูอิตโบราณหรือชาวพื้นเมืองไว้ แล้วเล่าเป็นเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างที่ทราบกันดีว่า ชาวไวกิ้งที่มาจากนอร์เวย์และเดนมาร์กได้แล่นเรือจนมาพบทั้งเกาะกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ ก่อนจะแล่นเรือไปดินแดนแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งชาวไวกิ้งบางส่วนก็อยู่ตั้งรกรากกันที่นี่ กระทั่งต่อมาเกาะกรีนแลนด์ก็กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศเดนมาร์กจนถึงปัจจุบัน ทำให้ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นเดนมาร์กอยู่มากพอสมควร ทั้งที่มีประชากรประมาณ 55,000 คนทั่วทั้งเกาะ นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ที่อยู่เหนือสุดของโลกได้เหมือนกัน เห็นจะเป็นรองก็แต่พิพิธภัณฑ์ที่นอร์ทเคป ซึ่งตั้งอยู่บนละติจูดที่เหนือกว่า

ครั้งที่ไปกรีนแลนด์ ยังมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินไปชมไอซ์แคป (Ice Cap) ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะกรีนแลนด์ เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด เป็นทัศนียภาพแบบเดียวกับฟ้าจรดทราย แต่เปลี่ยนจากทรายเป็นฟ้าจรดหิมะ การเดินทางไปไอซ์แคปจะมีเครื่องบิน 2 ลำ  ลำแรก จะไม่มีผู้โดยสาร เป็นเครื่องบินที่ลงไปทำรันเวย์ สำหรับให้เครื่องบินลำที่ 2 ซึ่งมีผู้โดยสารประมาณ 8 คนลงไปจอด ตรงส่วนล้อของเครื่องบินจะได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ มีทั้งล้อและสกี

ไอซ์แคปเป็นดินแดนที่ค่อนข้างแปลก ไม่มีที่ไหนในโลกที่เราจะสามารถไปยืนตรงบริเวณนั้นได้ โดยที่เรามองเห็นเส้นฟ้ากับหิมะเป็นเส้นเดียวกันแล้วกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา การแต่งกายในการไปชมไอซ์แคปก้ต้องรัดกุมเพราะอากาศหนาว แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อนก็ตาม ซึ่งสามารถเดินทางไปชมได้ประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม เรียกว่ายังหนาวอยู่ และลมก็ค่อนข้างแรง ดังนั้น การจะไปชมไอซ์แคปจึงต้องมีการเตรียมตัวและมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง หรือไม่ก็สามารถเลือกนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมกลาเซียร์บริเวณชายฝั่งหรือบนแผ่นดินแทนได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า และภาพที่เห็นก็ค่อนข้างที่จะแปลกตาพอสมควร ทำให้เราได้เห็นภาพในมุมกว้างกว่าการชมกลาเซียร์จากพื้นดิน  แต่ความสูงและความยิ่งใหญ่ของกลาเซียร์ตรงหน้าอาจจะไม่มากเท่ากับเวลาเรามองจากพื้นดินขึ้นไป ซึ่งจะเห็นกลาเซียร์เป็นธารน้ำแข็งใหญ่มหึมาไหลลงมาจากภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าเรา

กรีนแลนด์เรียกได้ว่าเป็นเกาะที่อยู่ในใจ ตั้งแต่สมัยเรียนวิชาภูมิศาสตร์เมื่อตอนเด็กๆ ว่า กรีนแลนด์เป็นเกาะสีขาวและหนาวเย็น แต่ตอนนั้นก็มีคำถามในใจนะว่า จะหนาวแค่ไหนกันเชียว พอไปถึงจริงๆ ถามว่าหนาวไหม ก็หนาว แต่อบอุ่นด้วยความรู้สึกของผู้คน

สำหรับความขาวของกรีนแลนด์ ความรู้สึกส่วนใหญ่ที่ได้คือ ความอลังการของภูเขาน้ำแข็ง เพราะไม่เคยเห็นภูเขาน้ำแข็งที่ไหนใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้  แต่ความอลังการของภูเขาน้ำแข็งก็กำลังลดน้อยลงทุกทีด้วยสภาวะโลกร้อน จากช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปในแต่ละปี ขนาดของภูเขาน้ำแข็ง หรือขนาดน้ำแข็งที่กรีนแลนด์กำลังค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ พอเดินทางไปครั้งที่ 2 แล้วรู้สึกใจหาย หลังจากไปครั้งแรกผ่านไปแค่ 1-2 ปีเอง แต่เราเห็นได้ชัดว่าขนาดมันเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ คงต้องมีความระมัดระวัง มีมาตรการอะไรสักอย่าง หรือควรต้องช่วยรณรงค์และช่วยเหลือกันอย่างจริงจังแล้ว
เพราะสภาวะโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรง มาเร็วและมากกว่าปกติ จนกลายเป็นอัตราก้าวหน้า ซึ่งมีการคาดการณ์กันไว้แล้วว่า การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกอาจจะเร็วขึ้น จาก 50 ปี อาจจะลดลงมาเหลือ 5 ปีก็ได้ นั่นหมายถึงความงามจากธรรมชาติจะถูกเบียดเบียนและเลือนหายด้วยฝีมือของพวกเราเอง

ดังนั้น ทางกรีนแลนด์จึงมีมาตรการจำกัดในเรื่องนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นอันดับต้นๆเพื่อให้ความขาว ความสวยงาม และความมหัศจรรย์คงอยู่ต่อไป


Travel Tips to Greenland

Must Destinations

แม้ทั่วเกาะจะถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะขาวเกือบตลอดทั้งปีแต่กรีนแลนด์ก็มีกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามไม่แพ้ดินแดนใดในแถบอาร์กติกเซอร์เคิลให้สัมผัส โดยสามารถตั้งต้นจากแคงเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) เมืองหน้าด่านที่สำคัญของ กรีนแลนด์ ซึ่งมีความหมายว่า The Long Fjord เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนฟยอร์ดที่ยาวถึง 160 กิโลเมตร และสวยงามด้วยบ้านเรือนที่สร้างเป็นลักษณะกล่องสีสันสดใสและเป็นเมืองที่มีกลิ่นอายแบบอเมริกัน เนื่องจากเคยเป็นฐานทัพของกองทัพอเมริกามาก่อน ทั้งยังมีสัตว์พื้นเมือง อาทิ กวางเรนเดียร์ วัวป่า และสุนัขจิ้งจอกอาศัยอยู่มากมาย

จากนั้นสามารถใช้บริการสายการบินภายในประเทศสู่อิลูอิสซัส (Ilulissat) เมืองแสนสวยและเงียบสงบริมอ่าว ซึ่งสามารถสัมผัสทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) หลากขนาดลอยเอื่อยหยอกล้อน้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋วกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ชม Zion Church โบสถ์ไม้เก่าแก่ประจำเมือง ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1779 และพิพิธภัณฑ์ Knud Johan Victor Rasmussen ซึ่งจัดแสดงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนเสื้อผ้าพื้นเมืองของชาวกรีนแลนด์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

และต้องไม่พลาดกับกิจกรรมล่องเรือสัมผัสภูเขาน้ำแข็งรูปร่างแปลกตา กลางอ่าวอันกว้างใหญ่อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดกันหนาวที่ทำจากขนแมวน้ำ เพื่อทดลองนั่งรถเทียมสุนัขลากเลื่อน (Dog Slede) ไปตามทุ่งหิมะ ผ่านกลาเซียร์แห่งเกาะกรีนแลนด์ สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวอันแปลกใหม่ท่ามกลางดินแดนที่แตกต่างตลอดสองข้างทาง

ข้อมูลท่องเที่ยวกรีนแลนด์ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.greenland.com

Accommodations

Arctic Hotel (www.greenland-guide.gl/hotel-arctic) ที่สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เคยเสดจมาประทับคราวเสด็จประพาสกรีนแลนด์ เป็นที่พักริมอ่าวดิสโก (Disko Bay) มองเห็นก้อนน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งหลากขนาดลอยล่องอยู่เหนือผืนน้ำสีสวย พลาดไม่ได้กับการลิ้มลองอาหารพื้นเมืองอย่างเนื้อกวางเรนเดียร์ แกะภูเขา ปลาฮาลิบัต (Halibat) วาฬ แมวน้ำ และนกทะเล ภายในห้องอาหารของโรงแรม

Best Time to Visit 

  • มษายน-พฤษภาคม กิจกรรมฤดูหนาว อากาศดีที่สุด ไม่หนาวเกินไป ท้องฟ้าแจ่มใส
  • มิถุนายน- ต้นสิงหาคม ชมความมหัศจรรย์ของพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่บริเวณเหนือเส้นอาร์กติก
  • กันยายน ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี

Travel Plan

หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวกรีนแลนด์ให้ครบ จากเหนือจรดใต้ควรใช้เวลาประมาณ 8-10 วัน  แต่หากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้

  • เมืองอิลูอิสซัส ล่องเรือชมภูเขาน้ำแข็ง ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • นั่งเฮลิคอปเตอร์ชมกลาเซียร์ ควรใช้เวลาประมาณ 1 วัน
  • ทดลองนั่งรถเทียมสุนัขฮัสกี้และขับสโนว์โมบิล ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • ล่องเรือสำราญ Hurtigruten ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน พร้อมชมเมืองที่สำคัญของกรีนแลนด์ ควรใช้เวลาประมาณ 6 วัน

แชร์เรื่องราว :

Scroll to Top