TOURLINES BLOG

ฟินแลนด์  ที่สุดแห่งกิจกรรมฤดูหนาว

blog-cover-1411201803

ประเทศในกลุ่มนอร์ดิกประเทศสุดท้าย ซึ่งเป็นน้องสุดท้องคือฟินแลนด์

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าโนเกีย (Nokia) มาจากประเทศอะไร หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าประเทศฟินแลนด์อยู่ตรงไหนของโลก และหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าโนเกียเป็นของฟินแลนด์?

จะว่าไปแล้ว คนส่วนใหญ่รู้จักประเทศฟินแลนด์น้อยกว่าโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกียซะอีก

ฟินแลนด์ประเทศเป็นเล็กๆ เคยอยู่ภายใต้การปกครองของสวีเดนมาเป็นเวลากว่า 600 ปี และอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียอีกกว่า 100  ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้ประกาศตัวเป็นประเทศที่มีเอกราชโดยสมบูรณ์ แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศต่างๆมาเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน แต่ฟินแลนด์ก็สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วและรุดหน้าไปมาก มากจนกระทั่งประเทศที่อยู่ใกล้ๆแอบอิจฉานิดๆ ด้วยความที่ประชากรก็ไม่มาก และยังสามารถควบคุมดูแลพื้นที่ทุกตารางนิ้วของประเทศได้เป็นอย่างดี

ทราบไหมว่า  ฟินแลนด์มีทะเลสาบอยู่ถึง 188,800 กว่าแห่ง เรียกว่าเป็นประเทศที่มีทะเลสาบมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้  มีทะเลสาบเยอะจนบางทะเลสาบยังไม่ชื่อเรียกเลย นั่นคือเสน่ห์ของฟินแลนด์

การที่มีทะเลสาบมากมายหลายแห่ง ก็ทำให้ฟินแลนด์มีปลาต่างๆเยอะมาก โดยเฉพาะปลาแซลมอน สำหรับคนที่ชอบทานปลาต้องไปที่นี่เลยแต่ขอแนะนำให้คนชอบทานปลา งดทานปลาที่เมืองไทยประมาณ 7 วัน ก่อนที่จะเดินทางไปฟินแลนด์หรือประเทศทางแถบสแกนดิเนเวีย

นอกจากปลาแล้ว ฟินแลนด์ยังมีเนื้อกวาง โดยกวางจะมี 2 แบบ คือ กวางเรนเดียร์ (Reindeer) ที่มีเขาเป็นกิ่ง กับ กวางมูส (Moose) ที่มีเขาเป็นแผง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสแกนดิเนเวีย เพราะทั้งกวางมูสและกวางเรนเดียร์เป็นกวางที่พบได้ทั่วไปในแถบนั้น แต่กวางเรนเดียร์จะเป็นกวางที่ชาวแลปป์เลี้ยงไว้ ส่วนกวางมูสเป็นกวางที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ

ถามว่าฟินแลนด์มีจุดเด่นอะไร?

ฟินแลนด์เป็นพระเอกในกิจกรรมฤดูหนาว  เนื่องจากฟินแลนด์มีกวางเรนเดียร์ลากเลื่อน (Rriandeer Sled) สุนัขลากเลื่อน (Dog sled) สกี (Ski) สโนว์โมบิล (Snow Mobile)  เล่นสเกตน้ำแข็งในทะเลสาบ (Skate) สโนว์บอร์ด (Snow Board) สวมรองเท้าเดินบนหิมะ (Snowshoe Walk) ตกปลาในน้ำแข็ง ชมแสงเหนือ (Northern Lights) และยังมีล่องเรือตัดน้ำแข็งจะมีการแต่งชุดป้องกันความหนาว แล้วลงไปนั่งเรือตัดน้ำแข็ง เรือก็จะตัดน้ำแข็งไปตามทาง พอไปถึงกลางทะเลก็จะตัดเป็นวง  ให้คนที่แต่งชุดหุ้มความร้อนกันฉนวนโดดลงไปในทะเลน้ำแข็งลอยคอไปลอยคอมาอยู่ในทะเลน้ำแข็ง

ถามว่าถ้าน้ำแข็งเข้ามาในเสื้อจะทำอย่างไร?

ชุดนี้เป็นชุดป้องกันแบบพิเศษ น้ำไม่เข้า เป็นเหมือนชุดชูชีพ ทำให้ลอยคออยู่ในทะเลน้ำแข็งได้ และไม่รู้สึกหนาวเลย กิจกรรมแบบนี้จะมีในช่วงเดือนมกราคมจนถึงประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี คนที่กระโดดลงไปลอยคออยู่ในทะเลน้ำแข็งจะเกาะกันคล้ายปลาท่องโก๋ ลอยคอไปเรื่อยๆแล้วฝรั่งร่างยักษ์ก็จะเอาไม้มาเขี่ยๆ เขี่ยมาเขี่ยไป ให้เราลอยไปลอยมา และให้เราจับไม้เพื่อดึงเข้ามาหากเราลอยไปไกลจากเรือ

ถามว่าเราจะจมไหม?

ไม่จมแน่นอน เราสามารถเอาหน้าแนบไปกับน้ำทะเลได้เลย ถ้าทนความหนาวได้นะ ยังไงก็ไม่จม ไม่ต้องห่วง และระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆของเขาดีเยี่ยมอยู่แล้ว

สำหรับเรือตัดน้ำแข็งลำนี้เคยเป็นเรือนำร่องมาก่อน เทคนิควิธีในการตัดน้ำแข็งก็คือ ใช้แรงของเรือกระแทกน้ำแข็ง ซึ่งจะปกคลุมอยู่ทั่วผืนน้ำในฤดูหนาวอันยาวนาน บางครั้งน้ำแข็งจะมีความหนาเป็นเมตรๆ เรือลำใหญ่ๆหรือเรือที่ไม่มีอุปกรณ์ตัดน้ำแข็ง ไม่สามารถผ่านเข้าไปในพื้นที่บริเวณนั้นได้ก้จะใช้เรือตัดน้ำแข็งลำนี้นำเข้าไปก่อน ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีพ่อค้าหัวใสคิดว่าช่วงที่ไม่ได้ตัดน้ำแข็งก็น่าจะนำเรือลำนี้มาทำเป็นเรือท่องเที่ยว จากนั้นก็เลยมีการพัฒนามาเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวในอีกรูปแบบหนึ่ง เรือลำนี้ก็พลอยได้ใช้ประโยชน์ ทั้งในแง่ของการตัดน้ำแข็งเพื่อการพานิชย์ และการตัดน้ำแข็งเพื่อการท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นที่สุด น้อยคนนักที่จะได้ทำ เลยต้องยกให้ฟินแลนด์เป็นพระเอกในฤดูหนาว

ยังมีสโนว์โมบิลที่ใช้หลักการคล้ายๆสกู๊ตเตอร์ แต่แล่นบนหิมะ บางคนเรียก สโนว์สกู๊ตเตอร์  โดยจะมีเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญคอยดูแลตั้งแต่การแต่งตัว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างหลุดไปจากชีวิตเดิมๆ อย่างเวลาที่เราขี่สกู๊ตเตอร์บนน้ำ เราก็จะอาจใส่แค่กางเกงหรือเสื้อผ้าสบายๆ จะเป็นกางเกงว่ายน้ำก็ได้ แต่ชุดสำหรับเราสโนว์โมบิลจะเป็นชุดที่ต้องปกป้องร่างกายให้อบอุ่นที่สุดตั้งแต่หัวจรดเท้า แค่การแต่งตัวเพื่อที่จะเล่นกิจกรรมเช่นนี้ให้สนุกก็ทำให้ขำกลิ้งกันได้แล้ว เพราะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกันพอสมควรต้องสวมชุดคล้ายๆ ชุดหมีที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง เพราะตัดกับสีขาวของหิมะกรณีที่เราขับออกนอกเส้นทาง เจ้าหน้าที่จะได้สามารถเห็นได้ชัด แล้วยังต้องมีหมวกคล้ายๆหมวกกันน็อก แต่ใช้กันลมกันหิมะ ต้องมีถุงมือ 2 ชั้นแล้วก็ถุงเท้ากับรองเท้าซึ่งต้องเป็นแบบมิดชิดรัดกุม   ที่สำคัญ…ต้องเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนใส่ชุด ถ้าต้องแกะออกมาอีกรอบ คงได้สนุกสนานกันพอสมควร  เพราะต้องใช้เวลา แล้วต้องช่วยกันเวลาจะเข้าห้องน้ำทีก็ต้องเข้ากัน 2 คน คนหนึ่งช่วยแกะให้อีกคนหนึ่ง ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะบอกก่อนเลยว่า ให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะ เพราะจะทำกิจกรรมประมาณ 2 ชั่วโมง พอแต่งตัวเสร็จก็ต้องถ่ายรูป ทุกคนจะเดินลงมาเหมือนนักบินอวกาศจะไปพิชิตขั้วโลกเลย

โดยปกติจะใช้เวลาทำกิจกรรมประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะขับไปบนแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง ได้อารมณ์และบรรยากาศ เพราะปกติเราก็ไม่เคยมีโอกาสลงไปเดินบนแม่น้ำจริงๆ  แต่ครั้งนี้ได้ขี่สโนว์โมบิลลงไปในทุ่งน้ำแข็งหรือแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง เวลานัดเจอกัน เขาก็จะบอกว่า เดี๋ยวเจอกันที่ท่าน้ำ (แต่เป็นท่าน้ำแข็งนะ)

ก่อนออกสตาร์ทเจ้าหน้าที่จะแนะนำวิธีการขับ สอนวิธีการเบรก การชะลอตัว และวิธีเลี้ยวซ้ายเลี้ยงขวา ซึ่งจะไม่ให้แข่งหรือแซงกัน เพราะจะดูแลลำบากและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อย่างบางส่วนของพื้นหิมะจะหนาไม่เท่ากัน เจ้าหน้าที่ก็จะให้ขี่ไปตามทางที่มีป้ายหรือเสาปักไว้เพื่อความปลอดภัย

สำหรับบรรยากาศรอบๆ เวลาขี่ไปได้สักระยะหนึ่ง พอเข้าไปในป่าฤดูหนาวที่มีหิมะขาวโพลน ต้นไม้ใบหญ้ากิ่งเล็กกิ่งน้อยขาวหมด เหมือนกับเข้าไปในความฝันที่ว่า โห…มันขาวขนาดนี้เลยหรอ เหมือนภาพที่เราเห็นตามโปสการ์ด ที่เป็นเกล็ดหิมะเกาะตามกิ่งไม้ทั้งหมด ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์จะมีแสงสีชมพูมาแจม โดยเป็นสีชมพูอมม่วงของท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังของพื้นหิมะขาว พอเข้าดือนมีนาคมหิมะจะปกคลุมทั่ว แล้วทำให้ต้นสนกลายเป็นไอติมแท่งปักอยู่ตามทาง พอเดือนเมษายนหิมะก็จะค่อยๆละลายไปตามกาลเวลา

อีกกิจกรรมหนึ่งคือ การลากเลื่อน หรือ Sledge มี 2 แบบ แบบหนึ่งคือ ใช้กวางอีกแบบหนึ่งคือ ใช้สุนัข  ถ้าใช้กวางจะเป็นกวางเรนเดียร์เพราะเชื่องกว่ากวางมูส ซึ่งเป็นกวางป่าที่อาศัยอยู่ในแถบนี้เช่นกัน โดยชาวแลปป์พื้นเมืองที่เลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้  พอหน้าหนาวไม่ได้ทำอะไรก็จะหันมาทำธุรกิจท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวลองนั่งเลื่อนที่ควบคุมดูแลโดยชาวแลปป์ ซึ่งสอนกวางเรนเดียร์ให้วิ่งไปรอบๆหมู่บ้าน เป็นกิจกรรมที่ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แล้วที่เก๋คือ เขาจะมีประกาศนียบัตร คล้ายๆกับ license ให้เราสามารถบังคับกวางเรนเดียร์ได้หนึ่งรอบ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ถ้ามันเกิดวิ่งเลยไปหมู่บ้านอื่น เขาจะมีวิธีดึงมันกลับมาได้อย่างไร

ส่วนการลากเลื่อนด้วยสุนัขจะคึกคักกว่า สุนัขที่ใช้ก็เป็นสุนัขฮัสกี้สายพันธุ์ไซบีเรียน หรือไซบีเรียนฮัสกี้ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างแข็งแรงฉลาด อย่างกวางตัวเดียวจะลากเลื่อนให้คนนั่งได้ 2 คน แต่ถ้าเอาสุนัขมาเทียมอย่างน้อยก็ใช้ประมาณ 5-6 ตัวขึ้นไป ลากคนได้ 2 คนเหมือนกัน สุนัขไซบีเรียนฮัสกี้อยู่ในฟาร์ม จะมีบ้านของเขาเองตัวละหลัง เป็นบ้านหลังเล็กๆอยู่กลางหิมะ เพราะจะเคยชินกับอากาศเย็น พอตัวไหนได้ออกไปลากเลื่อนหรือออกไปวิ่ง ตัวอื่นที่เป็นเพื่อนบ้านก็จะเห่ากันวุ่นวาย เพราะอยากจะมาวิ่งออกกำลังบ้าง การนั่งเลื่อนสุนัขจึงสนุกกว่า เพราะตอบสนองได้ดีและค่อนข้างฉลาด เจ้าของฟาร์มจะเลี้ยงและฝึกฝนมาอย่างดี โดยจะมีแบบลากไปรอบๆ  หมู่บ้าน หรือรอบๆ ฟาร์ม กับลากไปไกลๆ ไปตั้งแคมป์ซึ่งฝรั่งส่วนใหญ่มักจะชอบ  แต่คนไทยขอแต่งตัวสวยงาม ลากเลื่อนนิดหน่อยแล้วก็ถ่ายรูป เป็นอันว่าได้สัมผัสบรรยากาศพอแล้ว จากนั้นก็ไปหาอะไรทานกันเถอะ  แต่ถ้าจะให้ไปก่อกองไฟ  กางเต็นท์นอนกันในป่าหิมะ เราคงไม่สนุกมากขนาดนั้น

อีกอย่างคือ การใส่รองเท้าเดินบนหิมะ  ด้วยความที่แต่ละเดือนในช่วงฤดูหนาว ความหนาของชั้นหิมะจะไม่เท่ากันการที่ได้สวมรองเท้าเดินในหิมะทำให้เราเลี้ยงตัวหรือเดินได้โดยไม่ล้ม  และกิจกรรมสุดท้ายที่น่าสนใจคือตกปลาในน้ำแข็ง จะมีสว่านเจาะน้ำแข็งลงไป  โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญรู้ว่าเจาะตรงไหนถึงจะเจอปลา  แล้วสามารถหย่อนเบ็ดลงไปได้  เป็นกิจกรรมฤดูหนาวที่สนุกและแปลกแบบที่บ้านเราไม่มี

นอกจากการไปดับร้อนแล้ว ยังมีกิจกรรมตามรอยซานตาคลอสว่ากันว่าฤดูหนาวควรจะไปแถวนั้น แม้ในแถบสแกนดิเนเวียและประเทศทางยุโรปจะมีซานตาคลอสอยู่แทบทุกที่  แต่ที่ดูเหมือนจริงที่สุดคือ ซานตาคลอสที่อยู่ใกล้เส้นอาร์ติกเซอร์เคิล (Arctic Circle) ที่สุด ซึ่งเส้นอาร์ติกเซอร์เคิลจะอยุ่ใกล้ทางแถบซีกโลกเหนือ และใกล้กับขั้วโลกเหนือ ไม่ถึง 3,000 กิโลเมตร ก็จะถึงแก่นขั้วโลกเหนือแล้ว แถบนี้เองที่เป็นที่มาของดินแดนแห่งซานตาคลอส ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปสัมผัสได้จริง

มาถึงเรื่องขนมบ้าง  ถ้าถามว่าควรจะซื้ออะไร? หรือทานอะไร?

ช็อกโกแลตฟินแลนด์  ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลตแท่ง ช็อกโกแลตอัดเม็ดหรือแบล็กช็อกโกแลต ต้องยี่ห้อฟัซเซอร์จะอร่อยมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะไปซื้อที่โรงงานผลิตช็อกโลแลตกลับมาคนละนิดคนละหน่อย ถือเป็นของฝากสำหรับคนทางบ้านได้เลย

ส่วนผลิตภัณฑ์ของดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงืซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อนักคือ อัลวาร์ อัลโต (Alvar  Aalto) ชิ้นงานส่วนมากจะเป็นของแต่งบ้านอย่างเครื่องแก้ว คริสทัล ที่มีลักษณะเป็นลักษณะแก้วใสๆ ต่างกับคริสทรัลของสวารอฟสกี้ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นประกายด้วยการเจียระไนมากกว่า แต่ชิ้นงานของอัลวาร์ อัลโต จะใช้วิธีการเป่าแก้ว หรือบางชิ้นอาจจะทำเป็นแก้วขุ่นๆ ซึ่งอัลวาร์ อัลโตก็เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียง แต่ละชิ้นงานที่ออกแบบมาจะอยู่ได้หลายสิบปี ไม่มีเชย

งานของดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงของฟินแลนด์อีกรายหนึ่งคือ อิตาลา (Ittala) ซึ่งจะออกแบบชิ้นงานเกี่ยวกับเครื่องแก้วและเครื่องครัวเช่นกัน แต่งานของอิตาลาจะเป็นสไตล์ที่ค่อนข้างเรียบและดูเก๋ คล้ายชิ้นงานของดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนฟินแลนด์ และเป็นงานดีไซน์ที่ออกมาค่อนข้างสดใสสวยงาม

ส่วนโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย  แม้จะมีการย้ายฐานการผลิตไปที่จีนแต่แหล่งกำเนิดและฐานการผลิตใหญ่ยังอยู่ที่ฟินแลนด์

นอกจากกิจกรรมฤดูหนาวและขนมอร่อยแล้ว  ฟินแลนด์ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้ประเทศใดในแถบสแกนดิเนเวียคือ  โรงแรมน้ำแข็ง (Ice Hotel) และภัตตาคารน้ำแข็ง (Ice Restaurant) โรงแรมน้ำแข็งมี 2 แบบ แบบหนึ่งเป็นลักษณะเหมือนบ้านอิกลู (Igloo) อยู่ทางตอนเหนือของฟินแลนด์ ส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นลักษณะของโรงแรมน้ำแข็ง ที่มีเมืองเคมิ (Kemi) กับเมืองอิวาโล (Ivalo) เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาเฉพาะช่วงฤดูหนาวโดยนำน้ำแข็งจากแม่น้ำมาตัดเป็นก้อนๆ แล้วเอามาก่อสร้างเป็นโรงแรมเมื่อก่อนจะเรียกว่า Ice Castle ด้วยความที่ทางแถบนั้นหนาวนาน ก็เลยตัดน้ำแข็งมาทำเป็นประติมากรรมอะไรต่างๆ จนกลายเป็นเทศกาล แล้วหลังๆก็เลยทำเป็นที่นอนซะเลย ลองใช้ชีวิตแบบชาวเอสกิโมดูซิว่า  เขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร สุดท้ายก็เลยเป็นโรงแรมน้ำแข็งและกลายเป็นที่นิยมขึ้นมา

ตัวโรงแรมน้ำแข็ง ตั้งแต่ล้อบบี้ แก้วน้ำ  เคาน์เตอร์ต้อนรับ โต๊ะ เตียง เก้าอี้ กระทั่งแชนเดอร์เลีย  โคมไฟ ทุกอย่างเป็นน้ำแข็งหมด  แต่เตียงนอนจะปูด้วยขนกวางเรนเดียร์ และมีถุงนอน  (Sleeping Bag)  ให้อีกชั้นหนึ่งเพื่อให้เราอบอุ่นเพียงพอ ส่วนอุณหภูมิก็จะอยู่ที่ประมาณ -5 องศา  ไม่ได้หนาวมากขนาดติดลบเยอะๆ  แต่ก็เป็นอุณหภูมิที่สามารถควบคุมการละลายของน้ำแข็งได้ ยังปลอดภัยอยู่ บางท่านที่คิดจะลองนอนดูก็มักจะเช่าเคบินไว้ใกล้ๆ เผื่อว่าตกดึกขึ้นมาอุณหภูมิลดก็สามารถย้ายไปพักที่เคบินได้ แต่ถ้าท่านใดใจถึงจริงๆก็ไม่ว่ากัน เจอกันตอนเช้าเลย เสียดายตอนนั้นใจไม่ถึงเลยไม่ได้นอนทั้งคืน

แม้ว่าสวีเดนจะเป็นต้นกำเนิดของโรงแรมน้ำแข็งแห่งแรกของโลก แต่ฟินแลนด์ได้นำไอเดียตรงนั้นมาพัฒนาต่อ โดยนำแนวคิดตรงนั้นมาผสมผสานกับบ้านอิกลู และเปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว โดยมีอาหารสแกนดิเนเวีย ทั้งร้อนและเย็นเสิร์ฟด้วย อีกทั้งโรงแรมกับร้านอาหารน้ำแข็งของฟินแลนด์จะมีขนาดใหญ่และได้รับความนิยมมากกว่าในหลายประเทศ


Travel Tips to Finland

Must Destinations

ไม่ได้มีดีแค่การเป็นดินแดนซานตาคลอสแห่งสแกนดิเนีเวีย ฟินแลนด์ ยังเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และกิจกรรมฤดูหนาว โดยอาจเริ่มต้นการเดินทางได้จากกรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) เมืองหลวงแสนสวย เจ้าของสมญานามอันวิจิตรว่า “ธิดาแห่งทะเลบอลติก” ด้วยเหตุที่สิ่งปลูกสร้างต่างๆที่อยู่ภายในเมืองมีการผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่างสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่งดงามและสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ทั้งยังตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่เกาะมากมายในทะเลบอลติก โดยมีจัตุรัสซีเนท (Senaatintori หรือ Senate Square) เป็นสัญลักษณ์ของเมือง และโบสถ์หินเทอเปอเลียวคิโอ (Temppeliaukion  Kirkk หรือ Temppeliaukio Church) ผลงานการก่อสร้างอันอลังการ ด้วยการขุดโพรงหินแกรนิตขนาดใหญ่  และตกแต่งภายในด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่

หากต้องการสัมผัสบรรยากาศของเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด ควรแบ่งเวลาสำหรับการเดินท่องย่านการค้าบนถนนเอสพลานาด (Esplanade) ซึ่งนอกจากจะมีร้านเสื้อผ้าชั้นนำ ร้านหนังสือ และสินค้าดีไซน์ชื่อดังของฟินแลนด์แล้ว ยังเป็นถนนสายสวยที่รายล้อมด้วยอาคารสไตล์ฟินนิช (Finnish) ผสมผสานกับอาคารแบบสวีเดน

และเพื่อให้เข้าถึงการเดินทางท่องเที่ยวดินแดนใกล้ขั้วโลกเหนืออย่างฟินแลนด์ ควรระบุกิจกรรมท่องเที่ยวฤดูหนาว อาทิ การชมแสงเหนือ (Northern Lights) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสุดพิเศษที่จะปรากฏให้เห็นบริเวณเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนของดินแดนในแถบอาร์ติกแห่งเดียวเท่านั้น การล่องเรือตัดน้ำแข็ง (Icebreaker) ซึ่งจะเริ่มตั้งต้นจากเคมี (Kemi) เมืองสไตล์ฟินนิชสู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง โดยสามารถสวมชุดพิเศษลงไปสัมผัสความหนาวเย้นแบบสุดขั้วได้ด้วย

ข้อมุลท่องเที่ยวฟินแลนด์ดุรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.visitfinland.com

Accommodations

Sokos Hotel Presidentti (www.sokoshotels.fi) ที่พักย่านการค้าใจกลางเมืองหลวงเฮลซิงกิ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและแหล่งช้อปปิ้งอันทันสมัย สะดวกสบายและเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานสแกนดิเนเวีย

Best Time to Visit

  • ธันวาคม-มกราคม เทศกาลแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในแถบขั้วดลกเหนือ เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย มีโอกาสชมแสงออโรร่าที่สุด
  • กุมภาพันธ์-เมษายน กิจกรมฤดูหนาว อากาศดีที่สุด ไม่หนาวเกินไปและฟ้าใสมาก
  • ปลายพฤษภาคม-ต้นสิงหาคม  ชมความมหัศจรรย์ของพระอาทิตยืเที่ยงคืน
  • กันยายน-พฤศจิกายน ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี

Travel Plan

หากต้องการเดินทางท่องเที่ยวฟินแลนด์ให้ครบ จากเหนือจรดใต้ ควรใช้เวลาประมาณ 8-10 วัน แต่หากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้

  • กรุงเอลซิงกิและเมืองรอบๆ ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • เมืองตุรกุ (เมืองหลวงเก่า) ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน

แชร์เรื่องราว :

Scroll to Top