TOURLINES BLOG

สวีเดน เส้นทางสายมิตรภาพ

blog-cover-1211201802

สวีเดนเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ ผู้คนก็น่ารัก พวกเขาก็รักเมืองไทยมากรักมากจริงๆ เนื่องจากเป้นประเทศที่มีความผูกพันกับประเทศไทยเรามาช้านาน นับร้อยปีเลยทีเดียว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประภาสยุโรปถึง 2 ครั้ง ซึ่งพระองค์ท่านได้เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกและในครั้งนั้นก็มีการเสด็จประภาสสวีเดนด้วย โดยจุดเหนือสุดที่พระองค์เสด็จครั้งแรกอยู่ที่เมืองโซเลฟทีโอ (Solleftea) เขตรากุนดา (Ragunda) ประเทศสวีเดน และจุดเหนือสุดครั้งที่ 2 ที่พระองค์ท่านเสด็จประภาสคือแหลมเหนือ หรือนอร์ทเคป ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งห่างจากการเสด็จประภาสยุโรปครั้งแรกราว 10 ปี ถือเป็นอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติพระองค์ที่ 2 ของโลกในขณะนั้นที่เสด็จถึงแหลมเหนือ ฉะนั้นการเล่าถึงการเสด็จประภาสสวีเดนก็จะต้องเชื่อมโยงถึงนอร์เวย์ด้วย  ณ ขณะนั้นที่พระองค์ท่านเสด็จประภาสสวีเดนพระองค์ท่านเสด็จยังกรุงสต็อกโฮล์ม (Stockholm) เมืองหลวงของประเทศ  แล้วจึงเสด็จขึ้นไปทางตอนเหนือด้วยเรือและรถไฟ กระทั่งถึงบิสโกเด้น (Bispgarden) เมืองเล็กๆในรากุนดา ซึ่งมีถนนสายหนึ่งที่พระองค์ท่านเคยเสด็จพระราชดำเนินผ่าน ขณะนั้นเป็นเพียงถนนสายเล็กๆ เรียกกันว่า ถนนจุฬาลงกรณ์ (King Chulalongkorn’s Road) ซึ่งเป็นการเรียกขานชื่ออย่างไม่เป็นทางการ

แต่หลังจากนั้นอีก 50 ปี ทางรัฐบาลสวีเดนร่วมกับหน่วยงานภาคธุรกิจเอกชนได้ทำการบูรณะ ติดตั้งป้ายชื่อถนนจุฬาลงกรณ์ไว้อย่างเป็นทางการ ต่อมาเมื่อมีคณะนักศึกษาระดับปริญญาเอกเดินทางไปศึกษาต่อที่สวีเดนด้วยความที่เป็นนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางคณะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยสวีเดนบอกกับนักศึกษากลุ่มนั้นว่า ที่นี่มีถนนชื่อจุฬาลงกรณ์ด้วยนะ

ทีแรกนักศึกษากลุ่มดังกล่าวก็แปลกใจ เลยตัดสินใจพากันขับรถไปดูพอได้เห็นถนนที่มีป้ายชื่อว่าจุฬาลงกรณ์ติดตั้งอยู่จริงตามที่อาจารย์บอกจึงมีการรวมตัวกันระหว่างกลุ่มนักศึกษาและชาวไทยที่อาศัยอยู่ในสวีเดน ซึ่งนั่นเองเป็นที่มาของการสร้างพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินเยือนสวีเดน เรียกได้ว่าเป็นพระที่นั่งทรงไทยองค์ใหญ่ที่สุดที่อยู่นอกราชอาณาจักรไทย ทั้งยังประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เต็มพระองค์ด้านในพระบรมราชานุสรณ์ ซึ่งเป็นพระบานุสรณ์ทรงไทยเพียงแห่งเดียว ฤดูร้อนอาจจะยังไม่แปลกเท่าฤดูหนาว ซึ่งในฤดูหนาวจะเห็นหิมะปกคลุมศาลาทรงไทยสวยงามมาก เป็นภาพที่แปลก เพราะเราไม่ค่อยเห็นพระที่นั่งทั่วไปมีหิมะ ที่นี่จึงเป็นที่เดียวในโลกก็ว่าได้ นับเป็นเส้นทางอีกสายหนึ่งที่กล้าพูดเลยว่าแปลกจริงๆ และเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของการเดินทางท่องเที่ยวสวีเดน

ถนนจุฬาลงกรณ์และพระที่นั่งพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเสด็จประภาสตอนเหนือของประเทศสวีเดน ซึ่งเมื่อชาวไทยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในสวีเดนได้ค้นพบถนนจุฬาลงกรณ์แล้วก็คิดที่จะสร้างอนุสรณ์สถานอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน และเป็นการรำลึกถึงการที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินถึงจุดนี้ ทั้งยังเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจที่ว่าแม้ระยะเวลาจะผ่านมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่ชาวสวีเดนและที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เคยลืมเลยว่า ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านเคยเสด็จพระราชดำเนินมาเยือนสวีเดน

สำหรับการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ในรูปแบบของพระที่นั่ง หรือศาลาทรงไทย ณ บริเวณนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เทคนิคต่างๆ มากมายกว่าจะมาเป็นภาพของศาลาทรงไทยอันสวยสดงดงาม ด้านล่างต้องติดตั้งเครื่องทำความร้อน  ต้องมีเทคนิคหลายอย่างในการช่วยคงรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ เพราะที่สวีเดนมีดูหนาวที่ค่อนข้างยาวนานถึงกว่า 7 เดือน ทำให้ทางการสวีเดนต้องใช้เทคโนโลยีหลายส่วนช่วยเสริมเข้าไป ในขณะที่เอกลักษณ์ความเป็นไทยก็ยังอยู่ครบ

พอเข้าสู่ฤดูหนาว พระที่นั่งจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ ซึ่งจะดูสวยงามแปลกตา ยิ่งคนไทยเห็นก็จะรู้สึกแปลกตามากกว่าชาวยุโรป กระทั่งกลายเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ทำให้หลุดออกจากการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวเดิมๆ

สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญและน่าสนใจคือ พิพิธภัณฑ์ในมณฑลแย้มลาน (Jamtland) ฟังดูแล้วชื่อไท๊ยไทยนะ ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ทั่วไปที่ต้องเดินเข้าไปชมภายในอาคาร แต่เป็นพิพิธภัณฑ์เปิด ที่ผู้คนจะแต่งชุดโบราณย้อนยุค เหมือนเราเดินหลงกาลเวลาหลุดเข้าไปในอดีต ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้เฉพาะช่วงฤดูร้อน มีการทำขนมแบบโบราณ มีปั๊มน้ำมัน มีสิ่งปลูกสร้างอะไรต่างๆ ที่ทำย้อนอดีตขึ้นมา เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวสวีเดน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ที่เมืองออสเตอร์ซุนด์ (Ostersund) ใกล้กับเมืองรากุนดา เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกแปลกดี เพราะไม่ค่อยเห็นพิพิธภัณฑ์เปิดแบบนี้ที่ไหน ทำให้เกิดความรู้สึกว่า บ้านเราน่าจะทำพิพิธภัณฑ์ลักษณะแบบนี้ขึ้นมาบ้าง ความจริงอาจจะมีหลายแห่งที่พยายามทำอยู่ แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร

ส่วนเรื่องอาหารการกิน ถ้ามาสวีเดนต้องทานแซลมอน ปลาแซลมอนที่นี่อร่อยมาก ไม่ว่าจะปรุงแบบไทยหรือแบบฝรั่ง อร่อยทั้งนั้น เพราะเป็นแซลมอนที่สดมาก ลองมาหมดแล้ว ตั้งแต่วาซาบิยันซอสมัสตาร์ด หรือพริกกระเทียมตำ ปรุงรสด้วยมะนาวน้ำปลาแบบน้ำจิ้มซีฟู้ดบ้านเราก็อร่อยเข้ากันได้หมด เป็นแซลมอนที่เข้ากันได้กับรูปแบบการรับประทานของทุกชนชั้นก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะสภาพของน้ำและสภาพของภูมิประเทศที่ค่อนข้างคงความสะอาดและอุดมสมบูรณ์ เพราะสวีเดนให้ความใส่ใจเรื่องการรักษาสภาวะแวดล้อม และการรณรงค์เรื่องสภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เรียกว่าเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ทำให้สามารถตกปลาแซลมอนกันในเมืองได้เลย หรือจะตกปลาชนิดต่างๆที่มีอยู่ในแถบทะเลบอลติกก็ทำได้

พูดถึงเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมและธรรมชาติของสวีเดนแล้วที่ขาดไม่ได้เลยคือ เรื่องของต้นไม้ สวีเดนเป็นประเทศที่ผลิตกระดาษหรือเยื่อกระดาษมากเป็นอันดับต้นๆของโลก ในขณะที่การรณรงค์เรื่องการปลูกต้นไม้หรือป่าก็มีมากไม่แพ้กัน จนอาจพูดได้ว่า เขาปลูกมากว่าตัดนะ

กลับมาพูดเรื่องกินกันต่ออีกหน่อยดีกว่า!

นอกจากอาหารคาวอย่างปลาแซลมอนแล้ว สวีเดนยังมีของหวานหรือขนมอร่อยอย่างคุกกี้แอนนา ซึ่งสมัยก่อนจะเรียกว่า คริสต์มาสคุกกี้ เพราะทำรับประทานกันในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น แต่พอเริ่มเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้ชิมในช่วงคริสมาสต์ ก็เลยทำออกมาขายกันทั้งปีไม่ต้องรอช่วงคริสต์มาสแล้ว ตอนนี้คุกกี้รสชาติอื่นๆ ผลิตตามกันมาอีกส่วนใหญ่ก็พัฒนาสูตรจากของดั้งเดิม ให้มีรสชาติที่ทันสมัย การได้ชิมขนมแบบดั้งเดิมเหล่านี้ เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของการท่องเที่ยวเหมือนกันเพราะต้องไปซื้อที่แหล่งผลิต ต้องไปซื้อที่สวีเดนถึงจะอร่อย ถ้าชิมแล้วติดใจอยากกินอีก ก็ต้องกลับไปสวีเดน ยากเหมือนกันนะ


Travel Tips to Sweden

Must Destinations

นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันสวยงามไม่แพ้ประเทศใดในแถบสแกนดิเนเวียแล้ว สวีเดนยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความผูกพันอันแน่นแฟ้นดุจเครือญาติกับประเทศไทย ด้วยมีสถานที่หลายแห่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือน จึงเหมาะแก่การตามรอยเสด็จประภาสของพระพุทธเจ้าหลวงโดยเฉพาะเขตรากุนดา (Ragunda) เมืองบิสโกเด้น (Bisgarden) ซึ่งเป็นที่ตั้งของถนนจุฬาลงกรณ์ (King Chulalongkorn’s Road) และพระที่นั่งจุฬาลงกรณ์มหาราชา (King Chulalongkorn Memorial Building)

กรุงสต็อกโฮล์ม (Stockholm) เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ควรเลยผ่านเพราะนอกจากจะเป็นเมืองหลวงที่งดงามแห่งหนึ่งของโลก ด้วยมีเกาะใหญ่น้อยในโอบล้อมของทะเลบอลติกและทะเลสาบมาลาเรน (Lake Malaren) แล้วยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิพิธภัณฑ์วาซา (Vasamuseet หรือ Vasa Museam) ซึ่งเก็บรักษาเรือรบโบราณที่จมลงระหว่างการเดินทางออกทะเลเมื่อปีค.ศ. 1628 และจมอยู่ใต้ทะเลมานานกว่า 333 ปี  ศาลาว่าการเมือง (Stadshuset หรือ City Hall) ผลงานการออกแบบของรังนาร์ ออสเบิร์ก (Rangnar Ostberg) ก่อด้วยอิฐถึง 8 ล้านก้อนและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องโมเสกกว่า 19 ล้านชิ้น ขัดผิวหน้าเรียบ และเคลือบด้วยทองคำ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 12 ปี ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดงานมอบรางวัลโนเบลในเดือนธันวาคมของทุกปี และย่านเมืองเก่าในเขตกัมลาสตัน (Gamla Stan) ซึ่งเต็มด้วยที่อยู่อาศัยสมัยโบราณของศตวรรษที่ 13 ที่ยังคงรักษาสภาพอาคารบ้านเรือนได้เป็นอย่างดี พร้อมสำหรับการเดินทางย้อนสู่อดีตอันรุ่งเรือง

ข้อมูลการท่องเที่ยวสวีเดนดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.visitsweden.com

Accommodations

Scandic Ariadne Hotel (www.scandichotels.com/ariadne) ที่พักอันเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานสแกนดิเนเวีย ตั้งอยู่ใกล้ท่าเทียบเรือพร้อมสัมผัสทัศนียภาพริมทะเลสาบอย่างใกล้ชิด

Best Time to Visit

  • กุมภาพันธ์- เมษายน  ร่วมกิจกรรมฤดูหนาวในแลปแลนด์ หรือชมโรงแรมน้ำแข็งที่คิรูน่า
  • กันยายน-พฤศจิกายน  ชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี

Travel Plan

หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวสวีเดนให้ครบ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ควรใช้เวลาในการเดินทางโดยประมาณทั้งสิ้น 8-10 วัน แต่หากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้

  • กรุงสต็อกโฮล์ม (Stockholm) และเมืองรอบๆ ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • เมืองซุนด์สวาล (Sundsvall) และเขตรากุนดา (Ragunda) ตามรอยเสด็จประภาสของสมเด็จพระปิยะมหาราชชมพระบรมราชานุสรณ์ที่เมืองบิสโกเด้น(Bisgarden) ควรใช้เวลาประมาณ2-4วัน
  • เมืองเซเลฟทิโอ (บ้านซานตาคลอส) สัมผัสกิจกรรมฤดูหนาวควรใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
  • เมืองคิรูน่า ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นแบบขั้วโลกเหนือในโรงแรมน้ำแข็งช่วงฤดูหนาว ควรใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน

แชร์เรื่องราว :

Scroll to Top