TOURLINES BLOG

เดนมาร์ก  มากกว่าดินแดนแห่งเทพนิยาย

blog-cover-14112018

เดนมาร์ก (Denmark) ถือเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ซึ่งหลายคนคงจะพอรู้กันมาบ้างว่า เดนมาร์กนั้นเป็นบ้านเกิดของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Hans Cristian Andersan) นักแต่งนิทานหรือนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะเรื่องเงือกน้อย (The Little Mermaid) หรือลูกเป็ดขี้เหร่ (The Ugly Duckling) ซึ่งคงจะเคยได้ยินได้ฟังกันสมัยเด็กมาบ้างแล้ว แต่อาจไม่ทราบว่า คนเล่าเรื่องคือฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน และอาจไม่ทราบมาก่อนเลยว่า เขาเป็นชาวเดนมาร์ก (หรอกหรอ)

ทำไมเดนมาร์กจึงเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ?

เทพนิยายของเดนมาร์กไม่ได้มาจากฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สันที่เล่านิทานเป็นร้อยๆเรื่องอย่างเดียว  แต่ด้วยสภาพบ้านเมืองก็เหมือนกับบ้านตุ๊กตา เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ แทบทุกเมืองในเดนมาร์กจะมีหมู่บ้านลักษณะอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนก็จะสามารถพบเห็นได้ทั่วไป โดยบ้านเรือนเหล่านี้ไม่ได้ถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมาให้กลายเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย แต่เป็นสภาพบ้านเรือนที่ชาวเดนมาร์กเขาอาศัยอยู่กันจริงๆ ทำให้เรารู้สึกราวกับว่ากำลังเดินเข้าไปอยู่ในนิทานที่สามารถสัมผัสได้เหมือนของจริง  บรรยายาศแบบเทพนิยายในเดนมาร์กที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นเทพนิยายเรื่องเงือกน้อย (The Little Mermaid) คือความที่ชาวเดนมาร์กค่อนข้างจะมีความรู้สึกซึมซับเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยายต่างๆอยู่แล้ว ทางรัฐบาลของเดนมาร์กจึงร่วมกับหน่วยงานเอกชนสร้างอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวข้องกับเทพนิยายของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สันเอาไว้มากมายโดยเฉพาะเรื่องเงือกน้อย จนกลายเป็นว่า คนส่วนใหญ่รู้จักเงือกน้อยมากกว่ารัฐบาลเดนมาร์กซะอีก ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือแม้แต่บุคคลสำคัญของประเทศ บางทีคนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักเลย แต่ถ้าพูดถึงเงือกน้อยหลายคนจะรู้ว่าเงือกน้อยเป็นรูปปั้นผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งอยู่ริมโขดหิน ตรงปลายแหลมเล็กๆ ชานกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งชื่อเสียงหรือความโด่งดังของเงือกน้อยก็อยู่ตรงที่ว่า ถ้าใครมาโคเปนเฮเกนแล้วไม่ได้ไปเยี่ยมเงือกน้อย ก็เหมือนมาไม่ถึงโคเปนเฮเกนหรือไม่ถึงเดนมาร์ก ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ต้องไปให้ได้ แล้วที่บอกว่าเทพนิยายเรื่องเงือกน้อยของฮันส์  คริสเตียน แอนเดอร์สันของจริงเงือกน้อยต้องหายไปในฟองคลื่น ก็พอดีกับที่ชายฝั่งตรงนั้นมีระลอกฟองคลื่นค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นเลยทำให้คนที่เดินทางไปเห็นเข้าถึงอารมณ์ของเทพนิยาย กับภาพของระลอกคลื่นและรูปปั้นเงือกน้อยที่อยู่ตรงนั้นซึ่งเป็นบริเวณที่อากาศค่อนข้างดี แต่ก็น่าสงสารเงือกน้อยตัวนี้เหมือนกันนะ เธออุตส่าห์มานั่งรอเจ้าชายตากแดดตากลม ทุกข์ทนขนาดนั้นแล้ว ยังมีคนไปแกล้งเธออีกทั้งผลักตกทะเล ตัดคอ ตัดแขน บางทีก็ถูกสีสเปรย์พ่นใส่ แต่ยังไงเงือกน้อยก็เป็นที่ชื่นชมอยู่เสมอ  แถมความเป็นมาของเธอก็ค่อนข้างที่จะโชกโชนพอสมควร หลังจากปั้นขึ้นมาเสร็จแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนจบของเรื่องเงือกน้อยจะต้องกลายเป็นฟองคลื่น แต่ถ้าเธอไม่หาย ไม่กลายเป็นฟองคลื่น เดี๋ยวก็ต้องโดนถีบตกทะเลไปอีก ทางรัฐบาลจึงสร้างรูปปูนปั้นขึ้นมาใหม่ให้มีความแข็งแรงทนทาน ไม่สามารถโยกย้ายได้อีก แล้วก็ไม่อนุญาตให้ปีนขึ้นไปนอน ไปนั่งกอดคอกับเงือกน้อยถ่ายรูปเหมือนเมื่อก่อน

นอกจากนี้ ตรงบริเวณคาบสมุทรจัตแลนด์ เมืองสกาเกน (Skagen) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุด และมีน้ำทะเล 2 สีบรรจบกัน ระหว่างทะเลเหนือกับมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนบริเวณนี้ยังมีความสำคัญตรงที่เป็นดินแดนเหนือสุดของเดนมาร์กที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  เคยเสด็จประพาสแล้วทรงปักธงเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 หรือประมาณ 102 ปีมาแล้ว

การเดินทางสู่เมืองสกาเกน จากกรุงโคเปนเฮเกน สามารถไปได้ทั้งทางรถและทางเรือ โดยจะผ่านเมืองชื่อ ออร์ฮุส (Arhus) ก็เป็นเมืองที่รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จพระราชดำเนินผ่านเช่นกัน ซึ่งพอมาถึงเดือนนี้แล้ว จะต้องตัดเข้าอีกเส้นหนึ่ง เป็นถนนสายเล็กๆ ที่สองข้างทางตัดเลาะชายฝั่งและเลียบทุ่งหญ้าและมีเนินสูงต่ำไล่ระดับตลอดทาง แบบว่าเขียวสวย เขียวสบายตามากส่วนบ้านเรือนแต่ละหลังจะปลูกเป็นลักษณะบ้านหลังเล็กๆไม่ใหญ่โตแต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นบ้านในแถบชนบทซะทีเดียว จะเป็นบ้านหลังเล็กปลูกไล่ระดับไปตามเนินเขาเรื่อยๆ จุดนี้เป็นเส้นทางที่สวยมาก แค่นั่งรถผ่านก็เพลินแล้ว จากนั้นจะต้องผ่านเมืองออลเบิร์ก (Alalborg) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่คล้ายกับเมืองออร์ฮุส จากเมืองนี้ถนนจะเริ่มเล็กลงและเป็นถนนที่ตัดผ่านชนบทของเดนมาร์ก ก่อนจะเข้าสู่เมืองสกาเกน ซึ่งเป็นเมืองปลายสุดของคาบสมุทรจัตแลนด์ที่ชาวเดนมาร์กมักนิยมไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากเป็นเมืองที่มีชายฝั่งทะเล มีชายหาด และอากาศก็ค่อนข้างดีด้วย

เมื่อคราวรัชกาลที่ 5 เสด็จประภาสก็เป็นช่วงฤดูร้อน เลยได้บรรยากาศแห่งความสดใสของเมืองและผู้คนที่ออกมาเล่นน้ำ อาบแดด และทำกิจกรรมฤดูร้อนกัน ส่วนคนไทยเราก็มักจะไปชม ไปดู มากกว่าจะลงไปเล่นน้ำ เพราะน้ำยังเย็นอยู่เลย แค่ถอดรองเท้าเดินเล่นยังรู้สึกว่าเย็นเท้าถ้าเทียบกับน้ำทะเลบ้านเรานะ เลยเป็นคำตอบว่า ทำไมชาวสแกนดิเนเวียถึงชอบทะเลไทยนัก เพราะทะเลบ้านเราน้ำอุ่น เล่นดันได้ทั้งปี

แต่ละเส้นทางที่เสด็จประภาส แม้จะเป็นเพียงเมืองเล็กเมืองน้อยที่ผ่านแล้วก็อาจจะผ่านเลย แต่ถ้าหากเราได้ไปยืนตรงจุดนั้นจริงๆกลับทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะเดินทางตามรอยเสด็จประภาสของพระองค์ขึ้นมามากพอสมควรเลยทีเดียว

สำหรับบ้านเรือนส่วนใหญ่ในแถบนั้นก็จะเป็นบ้านหลังเล็กๆโรงแรมที่พักก็จะเล็กๆไม่สูงมาก สูงสุดประมาน 3 ชั้นแค่นั้นเอง เลยยิ่งทำให้มีความรู้สึกเหมือนกำลังเปิดนิยายอ่านไปเรื่อยๆ ในแต่ละบท ตั้งแต่บทแรกเริ่มออกจากกรุงโคเปนเฮเกน ผ่านเมืองออร์ฮุส ไล่ไปเรื่อยๆ จนจบตรงปลายสุดของคาบสมุทรที่เมืองสกาเกนพอดี และที่เมืองสกาเกนก็มีความแปลกที่น่าประทับใจคือ การบรรจบกันของสายน้ำ 2 สี เป็นการมาพบกันแล้วเกิดการตีกันของกระแสน้ำ เนื่องจากแต่ละสายต่างได้รับกระแสลมของทะเลในแต่ละด้านที่พาให้มาบรรจบกัน แล้วอีกอย่างคืออาหารทะเลอร่อยมาก เพราะอยู่ติดชายทะเล

เดนมาร์กเป็นดินแดนที่มีสมดุลในเรื่องธรรมชาติ อาหาร และผู้คนอยู่ในประเทศเดียวกันหมดเลย ทุกพื้นที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่ละฉาก แต่ละภาพที่เห็นในแต่ละวันมันอลังการเหลือเกิน ด้วยความที่เป็นดินแดนหนึ่งในแถบสแกนดิเนเวียที่อยุ่ใกล้ขั้วโลกเหนือมาก ทำให้การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าจะเดินทางไปเยือนในเดือนไหนก้จะรู้สึกถึงความแตกต่างโดยสิ้นเชิง จากหิมะขาวปกคลุมทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง พอหิมะเริ่มละลายดอกไม้ก็บานแทบจะพร้อมกันในขณะที่พอเข้าสู่เดือนกรกฎาคมจะมีปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือ Midnight Sun ให้เห็นกันเต็มๆ พอเข้าเดือนกันยายนใบไม้ก็จะเริ่มผลิแล้วเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ กระทั่งเข้าช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หิมะก็จะเริ่มตกอีกครั้ง และมาพร้อมกับแสงออโรร่า หรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มาแทนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ที่ถึงแม้ว่ามืดและหนาว แต่ก็มีเสน่ห์มากๆ

ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจอีกกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคงหนีไม่พ้น “กิจกรรมบริโภค “  เดนมาร์กเป็นต้นกำเนิดแห่งแดนิชเพสตรี้ (Danish Pastry) ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ด้วยความที่เขามีเนย นม และเกษตรกรรมที่มีคุณภาพสูง ทำให้วัตถุดิบในการทำขนมมีคุณภาพตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นแดนิชเพสตรี้ขนมอบสไตล์เดนมาร์กที่มีลักษณะคล้ายพายแล้วมีไส้ตรงกลาง จะเป็นไส้ครีม ไส้สับปะรด หรือไส้ผลไม้ต่างๆ ก้มีชื่อเสียงไม่แพ้ใคร พัพฟ์ พายหรือขนมอบทั้งหลาย ก้มีคุณภาพและอร่อยถูกปากหมดทุกอย่าง

เคยได้ยินฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์กใช่ไหม ที่นี่แหละต้นกำเนิดเดิมเดนมาร์กเป็นประเทศเกษตรกรรม แม้ปัจจุบันมีอุตสาหกรรมเข้ามาเสริมในบางส่วน แต่ด้วยความที่เดนมาร์กมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ มีร่าตุเยอะการทำการเกษตรกรรมจึงได้ผลดี การเลี้ยงวัวเนื้อและวัวนมก็มีคุณภาพ ฉะนั้นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนม อย่างเบเกอรี่ทั้งหลายจะมีชื่อเสียงและอร่อย เรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่คนรักขนมน่าจะชอบมากๆ

อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ช็อกโกแลต ร้านที่นิยมไปทานกันบ่อยๆคือ ร้านลากลาซ ( La Glace) ช็อกโกแลตอร่อยมาก ทานแล้วติดใจไป 3 เดือนเลย เป็นช็อกโกแลตเข้มข้น ผสมผงช็อกโกแลต มีวิปครีม และในเนื้อช็อกโกแลตจะมีกลิ่นหอมมันในตัวเอง พูดแล้วหิวนะ ร้านนี้เขาอร่อยจริงๆเป็นร้านที่เปิดมาร้อยกว่าปีแล้ว ตั้งอยุ่บนถนนสโตรเกต หรือสตรอยก์ ( Stroget) ที่นักท่องเที่ยวมักจะไปชิม โดยจะมีทั้งคุณยาย คุณป้า และคุณหลานมาช่วยกันขาย ซึ่งขายดีมาก ร้านจะเปิดทุกวันเว้นวันอาทิตย์ อันนี้พลาดไม่ได้ต้องไปชิมทุกครั้ง ไม่เฉพาะแต่ช็อกโกแลตเท่านั้นนะ ขนมอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเค้ก คุกกี้ แดนิชเพสตรี้อร่อยหมดขอให้ไปเถอะ นอกจากนี้ ไอศกรีมของเดนมาร์กก็อร่อยไม่แพ้ใคร แล้วก็มีชื่อเสียงมากด้วย เพราะนมเขามีคุณภาพ นำมาทำไอศกรีมหรือขนมอบอร่อยไปหมดทุกอย่าง

เท่าที่ชิมมากล้ารับประกันเลยว่า อร่อยที่สุดในบรรดาขนมจากกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวียด้วยกัน ถ้าให้งดอาหารแล้วทานขนมอย่างเดียวก็ทำได้นะ สามารถ!

ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของเดนมาร์กคือ หลายแห่งยังมีชุมชนดั้งเดิมของชาวไวกิ้ง ( Viking) อยู่ หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า ไวกิ้งไม่ได้มีอยู่แค่ในนอร์เวย์หรือสวีเดนเท่านั้นหรอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เดนมาร์กก็ยังคงมีชุมชนชาวไวกิ้งอยู่มากกมายเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นนอกจากจะได้สัมผัสกับดินแดนแห่งเทพนิยายแล้ว การเดินทางมาท่องเที่ยวยังเดนมาร์กยังได้ตามรอยไวกิ้งด้วย ซึ่งชาวไวกิ้งก็ได้ถือว่าเป็นชนพื้นเมืองที่มีอิทธิพลต่อชาวเดนมาร์กในสมัยนั้นพอสมควร แม้ว่าเดนมาร์กจะเป็นประเทศเล็กๆแต่ก็สามารถเข้าไปปกครองไอซ์แลนด์ในสมัยนั้นได้ กระทั่งปัจจุบันกรีนแลนด์ก็ยังได้รับการดูแลจากเดนมาร์กอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการเดินเรือของชาวไวกิ้งนั่นเอง

อย่างที่เมืองรอสไคลด์ (Roskilde) ก็จะมีซากเรือไวกิ้ง ซึ่งเป็นที่มาของตำนานต่างๆของชาวแดนิชไวกิ้ง (Danish Vikings) หลงเหลืออยู่และยังคงเป็นเมืองที่มีชุมชุนชาวไวกิ้งดั้งเดิมอาศัยอยู่ รอสไคลด์เป็นเมืองเก่าที่มีอายุกว่า 1,000 ปีแล้ว โดยเคยเป็นเมืองทั้งศูนย์กลางชองชาวไว้กิ้งและเคยเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองในระบอบกษัตริย์ และที่พำนักของผู้นำทางศาสนา ทั้งยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งรอสไคลด์ (Roskilde Domkirke หรือ Roskilde Cathedral) สถานที่เก็บพระศพของกษัตริย์ และราชวงศ์เดนมาร์ก มรดกโลกและสัญลักษณ์ของเดนมาร์ก รอสไคลด์จึงเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากเมืองหนึ่ง และยังมีพิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง (Vikingeskibsmuseet หรือ Viking Ship Museum) ซึ่งเก็บซากเรือไวกิ้งโบราณไว้ ความแปลกไม่ได้อยู่ที่ซากเรือ แต่อยู่ที่การสร้างเรือไวกิ้งให้เราลงไปได้ เหมือนกับว่ากำลังเดินย้อนกลับไปในอดีต ทำให้ได้สัมผัสกับความเป็นจริง ไม่ใช่เข้าไปดูหรือฟังบรรยายเกี่ยวกับซากเรืออย่างเดียวแต่นี่สามารถเข้าไปพายเองได้เลย ทำให้รู้ว่าทำไมเรือไวกิ้งในสมัยโบราณเข้าถึงตัวเป้าหมายได้อย่างเงียบเชียบ ในพิพิธภัณฑ์ก็จะมีการสาธิตให้ดูว่าการต่อเรือของไวกิ้งเป็นอย่างไร ดูวิธีการต่อเสร็จเรียบร้อยแล้วยังไม่สาแก่ใจก็ไปลองพายจริงๆกันเลย ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกสำหรับเมืองนี้ ทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงโคเปนเฮเกนเสียด้วย

เรื่องงานด้านการดีไซน์หรือการออกแบบของเดนมาร์กก็โดดเด่นและไม่ค่อยล้าสมัย อย่างเก้าอี้ของอาร์เน่ ยาคอปเซ่น (Arne Jacobsen) ที่เป็นทรงไข่ อาร์เน่ ยาคอปเซ่นเป็นคนออกแบบ ถ้าจำไม่ผิดอายุประมาณน่าจะ 50 กว่าปีแล้วนะ ออกแบบมานานแล้ว หลายสิบปีเห็นจะได้ แต่ปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยม ยังทันสมัยอยู่เลย ที่เคยเห็นจะเป็นรูปถ้วย รูปกล้วย แล้วก็ทรงมดเอวคอดๆ ในเมืองไทยก็เอามาใช้เยอะ เพราะยังโดดเด่นอยู่อย่าง B & O หรือแบงก์แอนด์โอลูฟเซ่น เครื่องเสียงที่แพงที่สุด ที่ออกแบบมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ก็เป็นผลงานของดีไซเนอร์ชาวเดนมาร์ก ซึ่งดีไซน์เครื่องเสียงออกมาให้เป็นระดับไฮเอนด์ วางเป็นเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวยในบ้านได้

แล้วยังมีผลงานของอีวา โซโล (Eva Solo) เป็นกระติกน้ำทรงคอดๆเป็นงานดีไซน์ที่โดดเด่นแล้วอยู่ได้นาน ไม่ว่าโคมไฟ แก้วน้ำ เครื่องครัวเครื่องใช้ จะสังเกตุเห็นโบดุม หรือเครื่องครัว ที่มีชื่อเสียงมากแล้วก็ยังทนนับเป็นการออกแบบที่ใช้งานได้ดี ดูได้นาน ทนทาน แม้จะผ่านการดีไซน์มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ล้าสมัย สามารถเดินดูได้ที่ร้านอีลุ่ม (Illum) ตอนแรกเรียกอีลุม ฟังดูแล้วไม่ค่อยสุภาพนะ ที่ร้านอีลุ่มนอกจากจะมีเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านเก๋ๆแล้ว ยังมีหมอนขนเป็ด เป็ดเดนมาร์กนะไม่ใช่เป็ดปักกิ่ง เป็ดเดนมาร์กจะมีขนนุ่ม เบา ไร้น้ำหนัก หมอนขนเป็ดที่นี่จึงมีชื่อเสียงนักท่องเที่ยวมักจะซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก

ทำไมสแกนดิเนเวียจึงเป็นประเทศที่ดีไซน์ของแต่งงานได้สวย ?

ด้วยความที่ว่า เขามีฤดูหนาวอันยาวนาน ทำให้ต้องตกแต่งภายในบ้านให้สวยเพราะเขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านนานถึง 7 เดือนในเวลา 1 ปี ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาจะอยู่แต่ในบ้าน ของแต่งบ้านจึงต้องสวย ซึ่งจะทำให้ช่วงเวลาในการอยู่บ้านมีความสุข แม้ระยะเวลาจะยาวนานก็ตาม

และเหล่านี้คือเรื่องรางของเดนมาร์ก ที่หากมีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวแล้ว ควรจะต้องไปชมกันให้ได้


Travel Tips to Denmark

Must Destination

เพื่อให้ได้สัมผัสกับสมญานาม “ ดินแดนแห่งเทพนิยาย” อย่างเข้าถึง  การเดินทางเยือนเดนมาร์กจึงมักจะเริ่มต้นกันที่กรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) นครหลวงและบ้านของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน นักเล่านิทานอันโด่งดังซึ่งนอกจากจะต้องแวะเก็บภาพที่ระลึกกับเงือกน้อย (The Little Mermaid) สัญลักษณ์แห่งกรุงโคเปนเฮเกนแล้ว ไม่ควรพลาดการเยี่ยมชมพระราชวังอะมาเลียนบอร์ก (Amalienborg) ที่ประทับของราชวงศ์เดนมาร์กและพระราชวังคริสเตียนบอร์ก (Christianborg) ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานท่ำหรับเสด็จออกรับทูตานุทูตของสมเด็จพระราชินีนาถมาเกร็ตเต้ที่ 2 และส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ทำการของรัฐสภา อีกทั้งอาคารบ้านเรือนสไตล์เดนมาร์กซึ่งนอกจากจะมีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ในแง่ของการเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ที่สะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รายล้อม

สำหรับนักช็อปและนักชิม ไม่ควรมองข้ามการเดินสัมผัสถนนสายช็อปปิ้งที่ยาวที่สุดในยุโรปอย่างสโตรเกต หรือสรอยก์ (Stroget) ซึ่งนอกจากจะมีสินค้าสไตล์แดนิชคุณภาพสูงให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจแล้ว ยังมีร้านขนมและคอฟฟี่ช็อปขนาดย่อมเรียงรายอยู่มากมาย ให้ลองแวะจิบช็อกโกแลตร้อนแกล้มขนมอบสไตล์เดนมาร์ก หรือแดนิชเพสตรี้ (Danidh Pastry)

ข้อมูลท่องเที่ยวเดนมาร์กดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.visitdenmark.com

Accommodations

Scandic Copenhagen (www.scandichotels.com/copenhagen) ที่พักแสนสบาย สไตล์สแกนดิเนเวียน ใจกลางกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งนอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาตรฐานสแกนดิเนเวียแล้ว ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของเมืองหลวง อาทิ สวนทิโวลี (Tivoli Gardens) และสัญลักษณ์ของเมืองอย่างรูปปั้นเงือกน้อย (The Little Mermaid)

Best Time to Visit

  • ธันวาคม-มกราคม  เทศกาลแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในกรุงโคเปนเฮเกน เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย
  • กุมภาพันธ์-เมษายน  อากาศจะอบอุ่นกว่าประเทศอื่นๆในแถบสแกนดิเนเวีย ไม่หนาวเกินไป
  • ปลายพฤษภาคม-ต้นสิงหาคม  ชมความงามของเมืองต่างๆรวมทั้งคาบสมุทรจัตแลนด์
  • กันยายน-พฤศจิกายน  ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี

Travel Plan

หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวเดนมาร์กให้ครบ จากเหนือจรดใต้ควรใช้เวลาประมาน7-8 วัน แต่ถ้าหากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆมีข้อแนะนำดังนี้

  • กรุงโคเปนเฮเกนและเมืองรอบๆ เช่น รอสไคลด์ และสะพานเอือร์ซึ่น ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • เมืองโอเดนส์ (เมืองบ้านเกิดของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน) ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • เมืองสกาเกน (ดินแดนเหนือสุดของประเทศ) รวมออร์ฮุส ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • เมืองบิลุนด์ ต้นกำเนิดแห่งตัวต่อเลโก้ (LEGO) ควรใช้เวลาประมาณ 1 วัน

แชร์เรื่องราว :

Scroll to Top