TOURLINES BLOG

ไอซ์แลนด์  ดินแดนอายุน้อยแห่งขั้วโลกเหนือ

blog-cover-1411201804

ไอซ์แลนด์ตั้งอยู่ระหว่างกรีนแลนด์กับสแกนดิเนเวีย มีประชากรอาศัยอยู่ค่อนข้างน้อย เป็นหนึ่งในประเทศที่สะอาดที่สุดในโลก เรียกว่าเป็นพี่น้องกับนิวซีแลนด์เลยก็ว่าได้

ไอซ์แลนด์เป็นดินแดนที่มีอายุน้อยที่สุด โดยมีอายุราว 200 ล้านปีใกล้เคียงกับนิวซีแลนด์ และยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน อาทิ มีน้ำพุโคลนเดือด มีน้ำแร่ และมีมลภาวะน้อยที่สุดในโลก เพราะนอกจากไอซ์แลนด์จะมีจำนวนประชากรน้อยมาก หากเทียบกับจำนวนพื้นที่ทั้งหมดของประเทศแล้ว ไอซ์แลนด์นั้นยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณภาพสูงอยู่เยอะมาก อย่างน้ำแร่ ขนาดชาวยุโรปยังนิยมมาอาบน้ำแร่กันที่นี่เลย รวมทั้งผลิตภัณฑ์จำพวกปรนนิบัติผิวพรรณ ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาจากน้ำแร่ก็มีคุณภาพสูง จนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในยุโรปเช่นกัน

ก่อนที่จะไปไอซ์แลนด์เคยรู้สึกว่าคงไม่ต่างกันมากนักกับนิวซีแลนด์แต่ด้วยความที่ไอซ์แลนด์มีภูเขาน้อยกว่านิวซีแลนด์ ภูมิประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเนินเขา ภูเขาสูงมีไม่มากนักแต่พอเดินทางลึกเข้าไปแล้วจะมีลักษณะเป็นเนินเขา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แปลกและรู้สึกว่าหลุดจากที่อื่นๆไปเลย ด้วยความที่ยังเป็นดินแดนอายุน้อยอยู่ พิ้นผิวต่างๆยังไม่เรียบเลยมีคนเปรียบเทียบว่า เหมือนเดินอยู่บนผิวดวงจันทร์ การไปเยือนไอซ์แลนด์ก็เหมือนกับว่าเรากำลังลงไปเหยียบดวงจันทร์ เพราะผืนแผ่นดินส่วนใหญ่ยังไม่มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่เหมือนพื้นดินส่วนอื่นๆของโลก สภาพธรรมชาติของผืนดินบนเกาะไอซ์แลนด์จะเป็นลักษณะของหินปุ่มกลมๆ แต่ไม่ใช่ลานหินปุ่มนะ มันใหญ่และเยอะมาก จนอาจเรียกได้เลยว่าเป็นทุ่งหินปุ่ม  ลักษณะเป็นตุ่มๆเต็มไปหมด พอเวลาหินแตกก็จะแตกระแหงเป็นชิ้นเล็กๆ  กระจายเต็มทุ่งไปหมด ทำให้มีความรุสึกว่า กำลังหลุดจากทัศนียภาพเดิมๆ ที่เราเคยเห็น

ถ้ามีเวลาไม่มากก็สามารถอยุ่ที่ไอซ์แลนด์สัก 3 คืน แล้วเที่ยวแบบวงรอบ เป็นวงรอบชั้นใน ที่เรียกว่า Golden Circle Tour การเที่ยวลักษณะนี้จะทำใหเราได้เห็นน้ำตกใหญ่ น้ำพุร้อน กลาเซียร์ และเกเซอร์พุ่งมาจากใต้ดินโดยตั้งต้นที่เมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavik) เริ่มจากการเที่ยวชมในเมืองแบบซิตี้ทัวร์ หรือไปชมบลูลากูน ซึ่งเป็นน้ำที่มีคุณภาพ เชื่อว่าสามารถนำมาบำรุงและรักษาผิวพรรณได้ดี กิจกรรมนี้ทำได้โดยไม่ต้องนั่งเครื่องบินหรือนั่งรถไกลๆ แต่ถ้ามีเวลาต้องการเที่ยวต่อให้ทั่วประเทศหรือครบทั้งเกาะใหญ่ก็สามารถนั่งรถหรือนั่งเครื่องบินเชื่อมไปได้

จริงๆแล้ว ภูเขาน้ำแข็งกับกลาเซียร์ในไอซ์แลนด์ก็มีอยู่มากพอสมควร แต่หากจะเที่ยวให้ครบก็จะต้องค้างคืน นอกจากนี้ ยังสามารถนั่งเรือไปชมวาฬหรือโลมาที่เมืองฮูซาวิก (Husavik) ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งการชมวาฬของยุโรป (Whale Watching Capital of Europe) โดยไม้ล่องเรือไม้โอ้กแบบดั้งเดิมเลาะไปตามแนวชายฝั่งเพื่อเฝ้าชมวาฬที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ในอ่าว เริ่มชมได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กันยายนของทุกปี

จุดเด่นของไอซ์แลนด์ยังคงอยู่ที่หลักฐานของชาวไวกิ้งในสมัยโบราณที่มาจากนอร์เวย์หรือดินแดนแถบสแกนดิเนเวีย เป็นลักษณะของสิ่งปลูกสร้างที่มักจะอิงกับชาวไวกิ้ง ซึ่งทำให้การเดินทางไปชมไม่น่าเบื่อ และสามารถตอบคำถามหนึ่งที่เป็นคำถามคาใจมาตลอดเลยว่า ทำไมชาวไวกิ้งถึงตั้งชื่อเกาะเกาะนี้ว่าไอซ์แลนด์ ทั้งๆที่ทั่วทั้งเกาะมีแต่สีเขียว แต่กลับตั้งชื่อเกาะกรีนแลนด์ให้เป็นดินแดนสีเขียว ทั้งๆที่จริงๆแล้วมีแต่สีขาว ก็จะได้ทราบคำตอบในตัวเองเลยว่า ก็เพราะชาวไวกิ้งเห็นความอุดมสมบูรณ์ของไอซ์แลนด์นั่นเอง จึงไม่อยากให้ใครได้มาเห็นแล้ว แล้วมาตั้งรกรากหรือมาใช้ชีวิตตรงนี้ซึ่งจะทำให้ประชากรหนาแน่นมากเกินไป แถมยังมาแย่งกันกินแย่งกันอยู่เลยตั้งชื่อเหมือนจะบอกว่า ให้ล่องเรือเลยกันขึ้นไปอีกหน่อยเถอะ จะมีอีกดินแดนหนึ่งที่ใหญ่โตเหลือเกิน ชื่อว่า กรีนแลนด์ ซึ่งแปลตรงตัวเลยว่า  ดินแดนที่มีสีเขียว ชาวเรือทั้งหลายที่กำลังหาดินแดนใหม่เพื่อขยับขยายในสมัยก่อน ก็เลยพากันลองไปกรีนแลนด์ แล้วก็พบว่า กรีนแลนด์เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกจริงๆ แต่ขาวไม่ได้เขียวเหมือนชื่อ หรือเหมือนอย่างที่ไอซ์แลนด์เป็น

สำหรับกิจกรรมที่ไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นที่นิยมกันก็จะมีแช่น้ำที่บลูลากูน (Blue Lagoon)  เวลาเดินทางไปจะต้องเชียร์ให้เพื่อนๆ หรือสมาชิกที่ไปด้วยกันลงแช่อย่างน้อย 2 รอบ แช่วันแรก 1 รอบ และวันท้ายๆ  ก่อนจะกลับอีก 1 รอบ เพราะเสียดายน้ำ พอแช่แล้วรู้สึกว่าผิวลื่นดี เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสได้แช่นานๆ ผิวคงดีขึ้น  ด้วยความที่ในบลูลากูนมีแร่ธาตุชนิดหนึ่ง  ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เกิดจากน้ำธรรมชาติกับวัสดุทางเคมีที่มาจากน้ำของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง ทำให้น้ำในบลูลากูนเป็นสีฟ้าอยู่ในทะเลสาบเล็กๆ แล้วสารหรือแร่ธาตุชนิดนั้นก็ทำปฏิกิริยากับผิว ทำให้ผิวเหมือนได้รับวิตามินบำรุง ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่กลายเป็นประโยชน์ต่อผิวไป ซึ่งเด็กชาวบ้านแถวนั้นไปพบเข้าโดยบังเอิญ เลยลงไปเล่น เพราะเห็นว่าน้ำมีสีแปลกแล้วมีความรู้สึกว่าสามารถรักษาแผลเป็นและทำให้ผิวพรรณดีขึ้น ก็เลยกลายเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมา ผู้คนก็ตื่นเต้นพากันไปแช่ แล้วก็เกิดเป็นธุรกิจท่องเที่ยวขึ้นมา ซึ่งยังมีโคลนสีขาวที่อยู่ในน้ำซึ่งทางบลูลากูนนำมาสกัดแล้วทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ หลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงผิว ทั้งแบบใช้พอกตัว พอกหน้า ครีม โลชั่น หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ต่างๆที่จะทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่ถ้ามีโอกาสได้แช่ก็สามารถนำโคลนสีขาวมาพอกตัวได้ แต่พอกได้เฉพาะที่บลูลากูนเท่านั้น เอากลับบ้านไม่ได้ แต่ถ้าจะเอากลับบ้านก็สามารถซื้อได้ เขาทำเป็นเป็นลักษณะของครีมใส่หลอดไว้ขาย เพื่อให้อยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ในประเทศอื่นๆได้    น้ำแร่บลูลากูนจึงเป็นเหมือนโอเอซิสที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน เวลาเดินทางไปถึงไอซ์แลนด์มักจะต้องแวะแช่น้ำก่อน  1 รอบ พอเที่ยว 3-4 วัน กลับมาแล้วก็มาแช่ก่อนขึ้นเครื่องอีกรอบ ถ้าได้ไปแล้วต้องแช่น้ำ ยอมผมเปียกนิดหน่อย แต่แช่กันไปเถอะ ของดีมีคุณภาพ เป็นน้ำแร่ที่วิเศษจริงๆ

นอกจากนี้ ยังมีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติเป็นเกเซอร์ (Geyser) หรือน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ผิวโลก  ซึ่งเกิดจากความร้อนที่อยู่ใต้แผ่นดินมีการดันตัวเป็นระยะๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะดันน้ำใต้ดินพุ่งตรงขึ้นไปสุงเป็นสิบๆเมตร เป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก แต่ลักษณะหรือสีสันของน้ำอาจจะไม่ได้แปลกเท่ากับระยะเวลาที่น้ำร้อนพุ่งขึ้นมาจะตรงเวลา แทบจะบอกแทนนาฬิกาได้เลย แต่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ เพราะโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอาจจะเริ่มเปลี่ยนก็ได้ แต่ก่อนจะตรงเวลาเป๊ะ กะเวลาได้เลยว่าน้ำร้อนจะพุ่งขึ้นมาเมื่อไหร่ เวลาถ่ายรูป ซึ่งเราก็อยากถ่ายให้ใกล้ๆ จึงพยายามซุมกล้องเข้าไป พอมีเสียงดังบุ๊งๆ ต่อมาก็จะมีน้ำพุ่งตามมาก็จะหลบทัน จนลืมไปเลยว่า น้ำที่พุ่งออกมาแล้วเราวิ่งหลบนั่นแหละคือสิ่งที่เรารอจะเก็บภาพ แต่กลับวิ่งหนีกันวุนวาย ก็สนุกไปอีกแบบ

เลยขึ้นไปอีกหน่อยจะมีสโนว์โมบิล ซึ่งต้องขับลงทางลาดชันพอสมควรถึงจะสนุก ถ้าขับตรงๆนิ่งๆ ไม่ค่อยสนุก ส่วนใหญ่จะไปขี่ตามชายเขาและด้วยความที่ไอซ์แลนด์ไม่มีต้นไม้ เพราะเพิ่งเริ่มปลูกต้นไม้ไม่นานนี้เองเดิมเชื่อกันว่า เคยมีต้นไม้ใหญ่อยู่บ้าง แต่ชาวไวกิ้งตัดไปหมดแล้ว เราก็ไม่อยากโทษชาวไวกิ้งว่าตัดไปหมดเกาะจริงหรือเปล่า แต่เขาก็เล่ากันมาอย่างนั้น ระยะหลังสักประมาณ 50-60 ปีที่ผ่านมา จึงเริ่มมีการปลูกต้นไม้ขึ้นมาทดแทนมากพอสมควร ทำให้ตัวเมืองเรคยาวิกกับเมืองรอบๆ มีต้นไม้ขนาดใหญ่บ้างแล้ว แต่นอกเมืองยังไม่ค่อยมี เลยมีคำที่มักจะแซวกันขำๆว่าถ้าหลงป่าในไอซ์แลนให้ลุกขึ้นยืน แค่นี้ก็ไม่หลงแล้ว เพราะคนอื่นก็จะเห็นคุณ ส่วนคุณก็จะหาทางออกมาได้เอง

เนื่องจากภูมิภาคส่วนใหญ่ของไอซ์แลนด์เป็นเนินเขาและทุ่งหญ้าพอเข้าฤดูหนาวหิมะก็จะเต็มไปหมด  การขับสโนว์โมบิลจะคนละอารมณ์กับที่ฟินแลนด์ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะจะเป็นการขี่ไปตามเนินที่ไม่มีต้นไม้ ไม่ต้องหลบกิ่งไม้ แต่ถ้าขับในฟินแลนด์ต้องหลบต้นไม้ เป็นการสัมผัสทัศนียภาพที่แตกต่างออกไป อาจจะได้ขับบนกลาเซียร์ ตรงไหนเป็นเนินเขา เพราะอะไรๆก็จะดูขาวไปหมด

และด้วยความที่เป็นดินแดนอายุน้อยของไอซ์แลนด์นี่เอง ทำให้ผู้คนจากหลายประเทศอยากไปเยือน เพราะดินแดนอายุน้อยจะมีทัศนียภาพหรือพื้นผิวทางธรณีวิทยา และมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากดินแดนในแถบอื่นของโลก อีกอย่าง ด้วยความที่ประชากรมีน้อย ไอซ์แลนด์เลยกลายเป็นดินแดนที่มีอากาศดีที่สุด จนกระทั่งมีพ่อค้าหัวใสทำอากาศอัดกระป๋องมาขายเป็นของที่ระลึก ซึ่งเรียกกันว่า Air from Iceland หรือ Best souvenir from Iceland


Travel Tips to Iceland

Must Destinations

แม้ชื่อจะมีความหมายว่าดินแดนแห่งน้ำแข็ง แต่ในความเป็นจริงแล้วไอซ์แลนด์กลับเป็นดินแดนที่มีความสวยงามและเต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลาย ทั้งกิจกรรมการท่องเที่ยวตามแบบของดินแดนใกล้เขตอาร์ติกธรรมชาติอันงดงามและแสนบริสุทธิ์ ปราศจากมลภาวะอันเป็นพิษทั้งมวลโดยการเดินทางท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะตั้งต้นจากเรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงของประเทศ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาสัมผัสกับกิจกรรมอันน่าตื่นตาตื่นใจของดินแดนใกล้ขั้วโลกเหนืออย่างชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน รวมทั้งบริการรถสาธารณะหรือรถนำเที่ยวของบริษัททัวร์ท่องเที่ยวภายในเมือง อาทิ ให้อาหารหงษ์และเป็ดริมหนองน้ำ Tjornin  ใกล้ศาลาว่าการเมือง (Raohus หรือ City Hall) แล้วใช้บริการลิฟต์สู่ยอดโบสถ์  Hallgrimskirkja สัมผัสทัศนียภาพในมุมสูงอันงดงามและแตกต่างรอบเมืองหลวง  รวมทั้งสีสันของเมืองใกล้เคียงอย่างเมือง Thongholt และเมือง Vesterbaer

นอกจากเมืองหลวงแล้ว อีกหนึ่งรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับการท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นที่นิยมมากคือ The Golden Circle การท่องเที่ยวรอบเมืองระยะทางรวม 300 กิโลเมตร หรือ 190 ไมล์ ซึ่งใช้เวลาเพียงวันเดียว สามารถเช่ารถขับเที่ยวเอง หรือเดินทางเป็นรถบัสเป็นหมู่คณะโดยตั้งต้นจากเมืองหลวงเรคยาวิกสู่ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ สัมผัสน้ำพุร้อน (Geyser) จากธรรมชาติที่จะพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ผืนดินเป็นระยะ จากนั้นเดินทางต่อสู่ Gullfoss หรือน้ำตกสีทอง (Golden Falls) ไฮไลต์ของเส้นทาง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันงดงาม และยิ่งใหญ่ของสายน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำ Hvita ซึ่งมักจะกลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาวมาเยือน เมื่อสายน้ำไหลมากระทบกับธารน้ำแข็งทำให้เกิดรูปทรงอันแปลกตาและมหัศจรรย์

ข้อมุลท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.visiticeland.com

Accommodations

  • Grand Hotel Reykjavik  เป็นโรงแรมที่สะดวกและสะอาดในมาตรฐานเดียวกันกับสแกนดิเนเวีย
  • Radison SAS Saga  เป็นโรงแรมดีไซน์สวย อาหารอร่อย โดยเฉพาะเนื้อแกะและปลานานาชนิด ปรุงแบบสไตล์ไวกิ้งหรือแบบยุโรป

Best Time to Visit

  • ธันวาคม-มกราคม เทศกาลแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในแถบขั้วโลกเหนือ มีโอกาศชมแสงออโรร่าที่บริเวณแถบนี้
  • เมษายน-พฤษภาคม กิจกรรมฤดูหนาว อากาศดี ไม่หนาวเกินไป และท้องฟ้าสีสวย
  • มิถุนายน-กรกฎาคม  เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดของปี สามารถเที่ยวได้รอบเกาะ
  • สิงหาคม-ตุลาคม ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี

Travel Plan

หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวไอซ์แลนด์ให้ครบ จากเหนือจรดใต้ควรใช้เวลาประมาณ 10-11 วัน  แต่หากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้

  • กรุงเรคยาวิกและบลูลากูน ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
  • นั่งรถเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางธรรมชาติ นำพุร้อน น้ำตก ปล่องภูเขาไฟ ควรใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
  • ขับสโนว์โมบิล ชมไอซ์ลากูน ควรใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
  • นั่งเครื่องบินไปทางเหนือเพื่อล่องเรือชมวาฬและโลมา ควรใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน

แชร์เรื่องราว :

Scroll to Top